การล้างพระเนื้อดิน



ถ้ามีคนถามว่าทำไมต้องล้างพระ ก็ต้องตอบว่าเพราะพระเปื้อน หรือมีอะไรต่อมิอะไรปกคลุมสภาพพระเอาไว้เช่น เมื่อนำพระมาห้อยคอก็มีเหงื่อ ไคล คราบสกปรก ฝุ่นละออง ขี้เกลือ ฯลฯ หรือพระออกจากกรุก็จะมี ดิน ทราย ขี้กรุ คราบกรุ คราบน้ำฮาก (น้ำที่ต้นไม้ใหญ่ดูดไว้ในรากตอนหน้าน้ำหน้าแล้งคลายออกมาส่วนมากจะมีแร่ เหล็กปน) หินปูน สนิม ราดำ รักน้ำเกลี้ยง รักดิบ เป็นต้น
วันนี้พูดถึง “การล้างพระเนื้อดิน” ก่อน พระเนื้อดินที่ทำลายสถิติการล้างจนสนนราคาก่อนและหลังล้างห่างกันหลายพันลี้ ต้องบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์ก็คือ พระกำแพงซุ้มกอ พิมพ์ใหญ่ มีกนก เนื้อสีแดง ที่วงการเรียกกันว่า ‘องค์เจ้าเงาะ’ ล้างโดย ท่านอาจารย์เชียร ธีระศานต์ เชื่อไหมครับอาจารย์เชียรล้างตั้ง 11 ครั้ง กว่าจะ "เห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน รูปเงาะนั้นใส่ให้คนหลง ใครๆ ไม่เห็นรูปทรง พระเป็นทองทั้งองค์อร่ามตา" ที่คลุมท่านไว้นะเขาเรียกว่า ราดำ เป็นพืชชนิดหนึ่ง ถ้าพระไม่แท้ราดำจะไม่ขึ้นหรอกนะครับ คนล้างก็เก่งทิ้งราดำไว้นิดๆ เป็นการการันตีว่าของแท้แน่นอน ต่างชาติเช่าไปราคาตั้งห้าสิบล้านนะครับ ล้างพระดีไม่ดีน่าศึกษารึไม่คิดเอาเอง
ทีนี้ถ้าจะล้างพระเนื้อดินทั่วๆ ไปที่ห้อยคออยู่หรือมีคราบสกปรกจับ ก็ให้เอาน้ำอุ่น (ไม่ใช่น้ำร้อนนะครับ) แช่พระลงไป เอาพู่กันของ อ.สง่า มยุระ อันไม่ต้องใหญ่มาก ขริบปลายให้ยืดหยุ่น ค่อยๆ ปัดคราบสกปรกออก ถ้ายังเหนียวแน่น ให้เอาสบู่เหลวละลายลงไป แล้วปัดไปปัดมา แต่อย่าปัดซะหน้าพระหายไปด้วยก็แล้วกัน เสร็จแล้วอัญเชิญขึ้นมาเป่าด้วยที่เป่าผมให้แห้ง เป่าไกลๆ หน่อยนะครับแล้วไม่ต้องกดปุ่มร้อนมากเดี๋ยวพระแตก เมื่อก่อนเขาผึ่งให้แห้งเอง แต่เดียวนี้ผึ่งไม่ได้แล้วเพราะคนไทยใจร้อน แล้วอีกอย่างเดี๋ยวพระหาย
อันว่าการล้างคราบสกปรกแบบนี้ เป็นวิธีการตรวจสอบพระแท้พระซ่อมได้อีกประการหนึ่ง ถ้าแท้แน่นอนจริงๆ พระจะไม่ละลายไปกับน้ำอุ่นเพราะพระเนื้อดินแท้ย่อมเผาได้ที่ คงทนแดดฝนร้อนหนาว แต่ปัญหาหนึ่งก็คือถ้าซ่อมเอาไว้มักจะหลุดตามน้ำออกมา ดังนั้นหากรู้ว่าพระตัวเองมีซ่อมไม่ต้องแช่ลงไปในน้ำ ให้ใช้พู่กันหรือคอตตอนบัดจุ่มแล้วค่อยๆ ลูปก็พอแล้ว ตรงไหนรู้ว่าซ่อมก็ข้ามๆ ไปซะ มีอยู่รายหนึ่งหย่อนเม็ดขนุนลงไปในถ้วยน้ำชา หน้าหลุดออกมาคนไทเกอร์มาขายต้องวิ่งมาหยอดแล้วเอากลับไปอยู่กับก๋งตามเดิม นี่แสดงว่าคนหย่อนเป็นมวย
พอพระแห้งแล้วผิวจะเปลี่ยนไป ไม่ต้องตกใจ มีวิธีเรียกผิวเดิมที่สะสวยยกเว้นคราบสกปรกกลับมา ให้เอาครีมทาผิวขวดสีชมพู ทาด้วยพู่กันให้ทั่วทั้งหน้าหลัง ทิ้งไว้สักสองวัน ครีมจะซึมเข้าไปเรียกความงามของเนื้อพระกลับคืนมาทีนี้ก็อัญเชิญไปใส่ตลับ ได้ ถ้าตลับสกปรกก็ให้เอาลงต้ม ต้มได้ทั้งตลับทอง ทองฝังเพชร ตลับเงิน ตลับสแตนเลส พอน้ำเดือดก็บีบมะนาวลงไปซักครึ่งลูก อันนี้ใช้ล้างแหวนเพชร แหวนพลอย สร้อยคอ อะไรประมาณนี้ก็ได้นะครับ
ถ้าหากเป็นเนื้อดินที่เพิ่งขึ้นจากกรุ อย่าไปยุ่ง ปล่อยให้เซ็ทตัวซักสองสามวัน เนื้อพระจึงจะคืนสภาพไม่อ่อนยวบยาบ ส่วนใหญ่จะมีดิน ขี้กรุ และอื่นๆ ปกคลุม ให้เอาน้ำมันใส่ผมประเภทออด๊าซ ไบล์คลีม หรือแอ๊คชั่น ชโลมให้ทั่ว ทิ้งไว้สักวันสองวัน น้ำมันพวกนี้จะทำหน้าที่แยกเนื้อดินกับสิ่งปกคลุมองค์พระไม่ให้กลืนเป็น เนื้อเดียวกัน จากนั้นก็นำมาเขี่ยในน้ำอุ่น ทีนี้พู่กันมักจะเขี่ยไม่ค่อยออก ต้องใช้ไม้จิ้มฟันทำปลายให้แยกเป็นพู่แช่น้ำทิ้งไว้สักครู่ค่อยนำมาใช้ คนเขี่ยต้องรู้เรื่องแม่พิมพ์พระด้วย เพราะถ้าไม่รู้อาจเขี่ยจมูกปากพระหลุดติดมาก็ได้
จริงๆ แล้ว “เนื้อพระดิน” อาจ แบ่งออกเป็นสามชั้น ชั้นในสุดจะแกร่งเพราะโดนความร้อนตอนเผาอบอยู่ข้างในมักมีสีเขียว ชั้นสองจึงเป็นชั้นนอกที่มองเห็นทั่วไป แต่ชั้นที่สามจะเป็นผิวพระเหมือนหนังกำพร้าของคนมีความสวยงามของผิวบนของ เนื้อดินที่ทำปฏิกิริยากับอากาศ ฝีมือล้างขั้นเซียนเหยียบเมฆจะเหลือเห็นผิวนอกสุดไว้ด้วย
ทีนี้วัสดุที่คลุมองค์พระดินไว้นั้น มีมากมายหลายอย่าง วิธีเอาออกเลยแตกต่างกันบ้าง เช่น ถ้าเป็น ‘คราบดินธรรมดา’ ก็ ใช้น้ำผสมสบู่ล้างง่ายๆ แต่ถ้าเป็น ‘คราบกรุ’ ต้องใช้น้ำมันใส่ผมแยกเนื้อดินออกจากกรุก่อนแล้วจึงล้าง ถ้าขี้กรุแข็งล้างไม่ออกต้องผสมน้ำยาสูตรพิเศษ สมัยก่อนเขาใช้น้ำยากัดกระเบื้องยี่ห้อ โอลด์ไบร์ท เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เอาเป็นว่าให้หาน้ำยาทำความสะอาดกระเบื้อง เช่น วิคซอลท์ อะไรทำนองนี้ ผสมน้ำเปล่าในอัตราน้ำยา 1 ส่วน น้ำเปล่า 3 ส่วน แล้วแช่พระลงไป จะใช้โซดาไฟด์สองสามเกล็ดผสมน้ำก็ได้ ค่อยๆ ใจเย็นๆ เขี่ยไปล้างไปส่องไป อาจารย์เชียร ท่านยังล้างตั้งสิบเอ็ดครั้ง ก็จะมีส่วนที่หลุดออก หากเหลือที่จับแน่นแข็งขืนไม่ยอมหลุดออกมาก็ให้เพิ่มความเข้มข้นของน้ำยาไป เรื่อยๆ จนถึงขั้นใช้พู่กันจุ่มน้ำยา 100 เปอร์เซนต์เลย ทีนี้หลุดแน่นอน วิธีที่พูดมานี้ใช้ได้ทั้งขี้กรุ น้ำฮาก คราบสนิม
หากเป็น ‘ราดำ’ วิธีกำจัดคือเก็บพระไว้ในที่แห้ง ยิ่งนานก็จะย่งล้างง่ายขึ้น แต่อย่าเอาออกหมดนะครับเหลือไว้เป็นร่องรอยบ้างว่าพระเนี่ยเก่าจริง เพราะถ้าไม่เก่าจริงราดำไม่มีทางขึ้น
นอกจากนี้ยังมีบางองค์ ‘ชุบรักน้ำเกลี้ยง’ ซึ่งคนโบราณชอบใช้ทาพระเวลาอมพระหรืออาราธนาติดตัวหรือจุ่มทำน้ำมนต์พระก็จะ ไม่สึกง่าย แต่เลิกคิดล้างออกไปได้เลยเพราะยากมากถึงมากที่สุด ผิดกับ ‘รักดิบหรือรักดำ’ ที่มีความหนาแน่นมากไม่ซึมเข้าเนื้อพระ เมื่อได้อายุรักดำจะค่อยๆ กรอบแล้วล่อนเป็นแผ่นๆ โบราณใช้ทาแล้วปิดทองคำเปลวลงไป อันนี้ต้องใช้ฝีมือหน่อยเหมือนการล้างรักในพระสมเด็จฯ คือ ต้องเอาน้ำยาลอกสีขอนำเสนอยี่ห้อ ไดคลอโรมีเทน(Dichlomethane) กระป๋องละ 120 บาท ผสมน้ำอัตรา 1 ต่อ 3 ให้ดูอายุรักด้วยว่ากรอบมากหรือน้อย ถ้ากรอบน้อยก็ผสมให้เข้มข้นมาก ถ้ากรอบมากแสดงว่ารักจะหมดอายุแล้วก็ผสมบางๆ ใช้พู่กันป้ายทีละจุด พอป้ายปั๊บก็จุ่มพระลงไปในอ่างที่แช่น้ำแข็ง รักจะได้รีบหดตัวหรือม้วนตัว ใช้ปลายพู่กันค่อยๆ แทงรักให้หลุด หากปลายพู่กันแทงไม่ออกก็ให้ใช้ปลายไม้จิ้มฟัน หรือใบเลื่อยที่นักเรียนใช้ฉลุไม้นำมาตัดปลายให้แหลมใช้ผ้าพันไว้จับ ใบเลื่อยนี่จะมีสปริงแคะรักได้ดีที่สำคัญอย่าให้โดนผิวพระเป็นเด็ดขาด วิธีนี้นิยมนำไปล้างรักในพระสมเด็จฯ ซึ่งจะเกิดปฏิกิริยาการแตกลายงาอย่างสวยงาม
หากไปเจอพระเนื้อดินที่คนโบราณชอบใส่ไว้ในตลับสีผึ้งเอาไว้ทาปาก พอดึงขึ้นมาพระจะฉ่ำไปด้วยขี้ผึ้งล้างยังไงก็ไม่ออก ต้องต้มน้ำให้เดือดแล้วเทใส่ถ้วย แช่พระลงไปขี้ผึ้งจะค่อยๆ ลอยจากองค์พระ แล้วเปลี่ยนน้ำให้ร้อนไปเรื่อยๆ ก็จะได้พระที่ไม่มีไขขี้ผึ้ง อย่าลืมเรียกผิวพระกลับคืนด้วยโลชั่นบำรุงผิว คำเตือนอีกอย่างคือที่ พูดมานี่ใช้กับพระเนื้อดินที่ผ่านการเผาเท่านั้น พระอย่างอื่นไว้พูดกันวันหลัง หากจะเริ่มลองล้างให้หาพระราคาถูกๆ ล้างดูก่อนจนชำนาญแล้วค่อยล้างพระแพง ที่สำคัญต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ ทำไปนะครับ พอล้างเป็นความสามารถในการดูพระจะพัฒนาขึ้นอีกหลายขั้นเลยทีเดียวเชียวครับ ผม