“stargate” ทำให้ความปรารถนาของทุกผู้ทุกนามที่เข้าถึงมันเป็นจริงได้ มันคือพลังเหนือพลังซึ่ง ได้กล่าวมาก่อนที่จะมีการยอมรับ ในเรื่อง “กฎของแรงดึง” หรือที่รู้จักกันว่า Law of Attraction กฎแห่งแรงดึงดูด เป็นหนังสือชื่อเดอะซีเครท ซึ่งเป็นหนังสือมีชื่อมากที่สุดเท่าที่เคยขายในเมืองไทยยังไม่นับว่าโด่งดัง ทั่วโลก “stargate” ในรูปแบบวัตถุที่นำเสนอ ในทำนองเดียวกัน ได้สร้างปรากฏการณ์ อย่างเหลือเชื่อ มีผู้มีประสบการณ์มากราย ที่พบเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นได้ แต่ก็เกิดขึ้น จนกระทั่ง เมื่อถึงเวลา พอสมควร ก็ระงับการเผยแผ่ “stargate” ในประเทศ แต่ให้คนฟากฝั่งตะวันตกได้รับรู้บ้าง ซึ่งก็มีผู้มาขอแลกเปลี่ยนด้วยอัตราสูงแต่ ไม่มีการเผยแผ่อีก ทำให้“stargate” แบบแรกที่เผยแผ่ กลายเป็นตำนานที่มีผู้กล่าวขานถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง มีผู้สอบถามมาเสมอว่า เมื่อไรจะสร้างขึ้นอีก แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีการตอบรับจากผู้สร้างจนกระทั่งครบ ๑๐ปีจึงสร้างขึ้นอีกครั้งในรูปแบบโลหะ และมี รูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม อานุภาพ ก็
“stargate” แยกศัพท์ว่า “star” หมายถึงดวงดาว และ “gate” หมายถึงประตู หรือช่องทางรวมความว่า ประตูสู่ดวงดาว ซึ่งมัน เป็นการบอกกล่าวให้รู้ว่า เป็นช่องทางที่จะเรียนรู้ จักรวาลได้จาก สิ่งนี้ เขียนถึงตรงนี้ย้ำว่า วัตถุก็คือวัตถุ ธาตุก็คือธาตุไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ รูปลักษณ์ภายนอกของ “stargate” ก็สร้างจากวัสดุที่ไม่ได้หายากอะไรบนโลกนี้ แต่เนื้อหาหรือองค์ความรู้ที่แฝงเร้นภายในนี่สิ ที่ทำให้ไม่ธรรมดา
“stargate” เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อสื่อถึงอัตลักษณ์ของ วัตถุที่สร้างขึ้น เดิม คุณปาปิรุส ใช้คำว่าสื่อปาฏิหาริย์ ซึ่งเข้าท่าดี เพราะเครื่องรางวัตถุมงคลใดใดก็ เป็นแค่ “สื่อ” อย่างหนึ่งเท่านั้น ปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งที่เกิดกับแต่ละบุคคลด้วย อำนาจของบุคคลนั้นเองเป็นตัวชักนำ เสมอ ในศาสตร์ทางบ้านเรา เรียกตัวชักนำว่า “ศรัทธา” เป็นคำอธิบายที่ สั้น กะทัดรัด ได้ใจความดี
เครื่องรางของขลังตามปกติ มีศรัทธาเป็นตัวเชื่อมโยง เพราะถ้าไม่ศรัทธา ก็ไม่รู้จะขวนขวายหามาทำไม แต่ศรัทธา บางครั้งหากมามากเกินไปก็จะปิดบัง ความรู้ที่สำคัญคือ วัตถุเครื่องรางนั้น ทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง การสร้างความหวังกับตัวเครื่องรางของขลัง ที่ไม่ตรงกับความจริงเพราะไม่รู้ว่า มันคืออะไร ก็คือความโง่งมงาย แม้พลังงานทางมายิกที่ประจุในของขลังนั้นอาจ จะทำให้เกิดสิ่งแปลกๆได้บ้าง แต่รู้ไหม? มันไม่เกิดประโยชน์ทางจิตวิญญาณสักเท่าไร เพราะยิ่งศรัทธาก็ ยิ่งยึดมั่น ยิ่งพึ่งพา จนแล้วจนรอดคนเหล่านั้น พึ่งตัวเองไม่ได้สักที บางคน มีเครื่องรางชิ้นเดียวไม่พอ ต้องมีอีกเรื่อยๆท้ายสุด ก็กลายเป็นตัวประหลาด บ้าหอบฟางเพราะไปไหนมาไหน มีเครื่องรางของขลัง เต็มคอ เต็มพุงไปหมด จริงอยู่ว่ามันเป็นเรื่องของ ความเชื่อ และความชอบส่วนบุคคล แต่ คอลัมน์นี้ อยากจะให้วางความคิดเหล่านั้นลงสักครู่
ระหว่างตัวตนปกติ จะเร่งเร้าพัฒนา ไปสู่ตัวตนใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “เนกขัม” ซึ่งดันไปแปลว่าการบวช ไม่ถูกกับนิยามศัพท์ และสิ่งที่ศาสนาพุทธพยายามสอน ความคิดนำพาตนไปสู่สถานะที่ดีกว่าจะดึงดูด เหตุการณ์ต่างๆเข้ามาช้าบ้างเร็วบ้างขึ้นกับสถานะของแต่ละคน และเรื่องที่ต้องการ
ระดับของพลังทางความคิด ขึ้นกับระดับของพลังการรอบรู้ของคนนั้นด้วย ระหว่างที่ความคิด กำลังทำงานตามกฎแรงดึงดูด ก็ต้องเข้าใจว่า เปรียบเสมือนการเดินทาง ไปสู่จุดหมายซึ่งอาจมีการขวางกัน และเมื่อมีการขวางกันก็ทำให้ ล่าช้า หรือไปไม่ได้ จะไปได้ก็คือ ต้องมีช่องทางหรือประตู ที่ทำให้เรื่องราวต่างๆเกิดง่ายขึ้น สิ่งนั้นก็คือที่ไปที่มาของคำว่า “stargate” ในบทความนี้นั่นเอง มนุษย์ถูกห่อหุ้มด้วยโลก โลกถูก ห่อหุ้มด้วยจักรวาล นับพันปีที่มนุษย์พยายามนำเอาพลังจากจักรวาลมาใช้ ที่ง่ายที่สุด ก็คือแสงแดด หรือแสงอาทิตย์ ซึ่งทำให้ พระอาทิตย์ กลายเป็นเทพเจ้าสูงสุด ในศาสนาโบราณ และการบูชาพระอาทิตย์ ก็ยังมีพิธีกรรมสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน อำนาจของ พระอาทิตย์คือ ความร้อน และ แสงสว่าง ซึ่งทำให้ทุกสิ่งในโลกเห็นกันรู้จักภาพลักษณ์ของกันและกัน พระอาทิตย์จึงถูกขนานนามว่า ดวงตาของโลก อีกสมญาหนึ่ง ดังนั้นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ จึงใช้รูปดวงตาศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพบเก่าแก่ หลายอารยธรรมที่รู้จักกันดี คือ อียิปต์ มีเทพเจ้า เกี่ยวกับ พระอาทิตย์คือ รา และมีสัญลักษณ์ เป็นรูปดวงตา ตามรูปแบบที่นำมาแสดงประกอบถือว่า เป็น สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ และ ก็ศักดิ์สิทธิ์จริงๆแบบยันต์สำเร็จ คือดีโดยตัวเองซึ่งจะกล่าวต่อไป สัญลักษณ์ รูปดวงตานี้ ถูกนำมา ประกอบอยู่บนศูนย์กลาง ของ “stargate” ซึ่งทำตั้งแต่ รุ่นแรก หลายๆคน คิดว่าเป็นศาสตร์ อิยิปต์ แต่มันลึกกว่า ครอบคลุมในหลายศาสตร
ปริศนาพลังชีวิตทั้งหลายในโลก อยู่ที่แสงแดด ซึ่ง ไม่ได้เป็นแสงที่ได้จากดวงอาทิตย์ ที่เราเห็นอยู่ เสียทั้งหมด เพียงแต่แสงอาทิตย์ที่เราเห็นนั้นมีความเข้มสูงเพราะอยู่ใกล้กว่านั่น เอง
ความลับของทุกชีวิตทั้งมวล และทุกศาสตร์มายิก ก็อยู่ที่แสงที่ว่านี่เอง การฝึกพลังจิตเชื่อมต่อจักรวาลหรือพลังจักรวาล ก็คือ การสัมผัสแสงที่ว่านี้ เพราะแสงเป็นคลื่นและเป็นตัวเก็บข้อมูล (สัญญา) แบบเดียวกับการอ่านรหัสบาร์โคด เวลาซื้อสินค้า การเชื่อต่อกับแสง (ทิพย์) จากแหล่ง ที่ใหญ่ก็จะได้รับพลังอำนาจมากขึ้นด้วยเชื่อว่า ศูนย์กลางเอกภพ ต้นกำเนิด สรรพสิ่ง ก็คือแสงเช่นกัน นักฝึกจิตเรียกแสงนี้แตกต่างกันออกไป ตามคติ และความรู้ที่ตนมี พลังแสงนี้ เชื่อมโยงพลังงาน ทั้งหลาย เข้าด้วยกัน และ เราสามารถส่งคำอธิษฐานผ่านพลังแสงนี้ (หากฝึกฝนเข้าถึงระดับ) ทำให้กระบวนการที่เรียกว่า“Law of Attraction” หรือ “กฎแห่งแรงดึงดูด” เกิดเร็วขึ้น นั่นคือการ ผสานจิต(ความคิดของเรา) เข้ากับจิตของจักรวาลด้วยระบบแสง (บางคนอธิบาย กระบวนการกฎของแรงดึงดูด ว่าเป็นพลังจิตใต้สำนึก ทำงาน ในทำนองเดียวกัน เราก็กล่าวได้ว่าเชื่อจิตใต้สำนึกเรากับจิตของระบบจักรวาล) อธิบาย แบบนี้บางคนอาจจะอ่านแล้วเข้าใจยากสักหน่อย ต้องบอกว่าเป็นวิทยาการ ที่ลึก เพราะเป็นการศึกษารังสีจิต และต้องเข้าใจโอภาสแบบต่างๆ ทั้งภายในภายนอก กรรมฐาน แบบธรรมดา ประเภทปิดหูปิดตาก็อาจจะมีความเห็นสวนทางกับความรู้นี้ ซึ่งต้องบอกว่า นักพลังจิตทั่วโลก ที่ฝึกจิตแบบนิวเอจ จะรู้เรื่องนี้ เกือบทุกคนเป็นความรู้พื้นฐาน หากมากล่าวเรื่องทำนองนี้กับคนไทยอาจจะงงๆ ซึ่งอธิบายว่า พลังแสงอาทิตย์อย่างเดียวก็อาจเข้าใจไขว้เขว ท่านผู้อ่านที่มีความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์ระบบดวงดาวก็คงพอจะต่อยอดความ รู้ศาสตร์นี้ได้บ้าง มีแนวคิดคล้ายกัน เพราะโหราศาสตร์ก็อาศัยการทำนายเมื่อดาวแปรแสง ซึ่งตัวสำคัญ ก็คือ แสงอาทิตย์ เพราะดาวพระเคราะห์ทั้งหลายจะมีกำลังก็ต้องเมื่อได้องศา แสงอาทิตย์เท่านั้น
เราได้ยิน เกี่ยวกับไสยศาสตร์ หรือมายิกที่ใช้แสงอาทิตย์มาบ้าง ง่ายที่สุด ก็คือ ฤกษ์ผานาที ที่เราใช้ในพิธีกรรมต่างๆนั้นเอง เพราะผู้คำนวณ เมื่อได้เวลาก็ต้องรู้ว่าเวลา นั้น พระอาทิตย์ สถิต แต่ขอบกลุ่มดาวราศีอะไร ซึ่งเรียกกันว่า ลัคนาของฤกษ์ นั่นเอง
การที่นำดวงตา ที่หมายถึงแสงแห่งจิตวิญญาณมาประทับกลาง “stargate” ก็ เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ให้ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้เป็นสื่อเพื่อการรู้แจ้งของ จิตวิญญาณ โดยการโดยไม่ต้องการให้ไปยึดติด กับรูปแบบ ความเชื่อ ศาสนา แต่ยึดจากตรรกะและประสบการณ์จริง