โป่งข่้าม แก้่วกายสิทธิ๋แห่งล้านนา ตอนที่ 1


     นับแต่โบราณกาลมาแล้วที่คนรุ่นก่อนๆ ได้รู้จักและเห็นคุณค่าของแก้วชนิดต่าง ๆ ว่ามีคุณวิเศษเพียงใด ทั้งยังรู้จักที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ตัวเองและครอบครัว แต่ก่อนที่จะนำมาใช้ได้อย่างถูกต้องตามวิธีการที่แท้จริงนั้นต้องรู้จักคุณลักษณะ ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ของแก้วแสงแต่ละชนิดเสียก่อน ตำราดูลักษณะของแก้วตามแบบที่ถูกต้องตามตำราพื้นเมืองลานนานั้นจริง ๆ แล้วเราสามารถแบ่งได้เป็นหลักใหญ่ ๆ ได้ทั้งหมด ๙ ประการ และยังสามารถแบ่งแก้ววิเศษออกได้อีกเป็น ๒๔ ดวง แก้ววิเศษทั้ง ๒๔ ดวงดังกล่าวนี้ถ้าหากว่าผู้ใดก็ตามที่สามารถนำมาครอบครอง หรือทำเป็นหัวแหวนแล้วนำมาสวมใส่มือหรือ อาจจะนำมาพกติดตัวเอาเก็บไว้เป็นขวัญถุงแล้วก็จะทำให้ผู้ที่ครอบครอง จะมีแต่ความสุขความเจริญมั่งศรีสุข ข้าวของอันพึงมีจะไหลมาเทมาและยังมีอานุภาพทางมหาอำนาจ คุ้มครองป้องกันจากภัยอันตรายต่าง ๆ ดังมีผู้ได้ประสบการณ์อยู่เนือง ๆ บางทีก็ถึงขั้นคงกระพันฟันแทงไม่เข้า ที่เรียกกันว่าข่ามคงคำลักษณ์วิเศษณ์ของภาษาทางเมืองเหนือที่มีมาช้านานนั้น จะพรรณนาถึงลักษณะที่เกิดขึ้นภายในเรือนแก้วลักษณะของน้ำแก้วและส่วนพื้น หรือส่วนประกอบที่เกิดขึ้นจริงอย่างเช่นจะพูดถึงประกายอันระยิบระยับ หรือความแพรวพราวของน้ำแก้วเอง คือจะพรรณนาถึงประกายอันวูบวาบระยิบระยับ ของเนื้อแก้วความแพรวพรายของแก้วและ น้ำแก้วได้อย่างน่าฟัง เพราะบรรยายถึงคุณลักษณะแก้วโป่งข่ามที่ต้องการได้ดีเช่น ของดีก็ควรคู่คนดีหรือคุณว่าไง?

          ความวาวของแก้วที่ให้แสงแพรวพราย มักเรียกลักษณะนั้นว่า "มิงๆ ม็องๆ" แววระยิบระยับ(เรียกกันว่า "มาบเม็บ") ของแก้วโป่งข่ามนั้นเรา มักจะอยู่ในลายชื่อ ประกายแก้ว หรือลายที่ชื่อ แก้วกระจาย ลักษณะของวาวประกายแก้วอาจจะยกตัวอย่างง่าย ๆ โดยเอาน้ำแข็งทุบให้แตก สะเก็ดน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่รอบ ๆ จะให้ประกายชนิดนี้ แม้ต้องแสงพระอาทิตย์จะทำให้แสงนั้นแหลมคม แต่ก็ดูได้เย็นตา วาวสะท้อนชนิดนี้ย่อมเป็นเอกลักษณะและคุณสมบัติที่เป็นคุณค่าเฉพาะตัวของแก้วโป่งข่าม ส่วนลักษณะวาวแสงไม่บาดตาอยู่ในพวกให้แสงวาวแววแพรวพราย วาวแก้วกระจายและวาวประกายแก้วนี้ต่างกันโดยลักษณะที่จำแนกขึ้น แก้วกระจายหมายถึงแก้วในทรงผลึกเล็ก ๆ ในลักษณะหินทรายแก้วกระจาย
         ส่วนประกายแก้วอยู่ใน ลักษณะสะเก็ดที่แตกออกจากกันโดยกำเนิดมีความแหลมคม ประกายแก้วอาจเกิดขึ้นจากกรรมวิธีโดยนำเอาแก้วผ่านความร้อนสูงแล้วชุบน้ำที่เย็นจัด รอยร้าวด้วยกรรมวิธีนี้จะให้แสงแบบประกายแก้วได้เหมือนกัน แต่แตกต่างจากที่เกิดตามธรรมชาติที่มีความนุ่มนวล เย็นตากว่าและที่สำคัญ ลักษณะต่าง ๆ ที่เกิดในเนื้อแก้วตามธรรมชาติจะเป็นตัวบอกคุณวิเศษของแก้วดวงนั้นว่ามีอาณุภาพเช่นไร ส่วนแก้วที่อัดหรือทำให้เกิดลักษณะขึ้นนั้นจะไม่มีอานุภาพดังกล่าว เพราะไม่มีพลังงานของธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องเลย ผู้ที่สนใจจะซื้อหาแก้วโป่งข่ามจึงควรศึกษาเรียนรู้จากผู้รู้จริง เพื่อที่จะให้ได้แก้วที่ทรงคุณค่าจริง ๆ ไว้เป็นมงคลแก่ชีวิต หากเลือกซื้อหรือได้แก้วจากแหล่งที่ไม่มีคุณธรรมคือใช้เศษแก้วหรือการอัดแก้วหรือทำให้เกิดรอยฐาน เพื่อเพิ่มราคาแก้วก็อาจได้แก้วที่ไม่มีซึ่งอำนาจและคุณวิเศษ ซ้ำร้ายอาจได้แก้วอุบาทว์ คือไม่เป็นมงคลและอาจจะนำโชคร้ายมาสู่ตัวเจ้าของก็ได้ ส่วนแก้ววิเศษที่เล่ามานั้นยืนยันว่าหากใครมีไว้เป็นของวาสนา เพราะทรงคุณตามตำราไว้ หากไม่จริง คนโบราณท่านคงไม่บันทึกไว้เพื่อสืบทอดความเชื่อกันมานับร้อยนับพันปีครับ

โป่งข่าม ตอนที่ 2

แก้วกายสิทธิ์แห่งลานนา
    ลักษณะของวาวแก้วแพรวพรายหรือ "มิงๆ ม็อง ๆ" มักจะมีอยู่ในแบบลาย คือแบบลาย ปวกน้ำ ลายชนิดนี้มีกำเนิดขึ้นในเนื้อแก้วแบบฟองอากาศในน้ำ เกิดโพรงก๊าซขึ้นภายในเนื้อแก้วในระยะกำเนิดก่อตัวของแก้วที่ต้องใช้เวลานับหมื่นปี อาจจะดูตัวอย่างเปรียบเทียบง่าย ๆ โดยเป่าลมลงในหลอดดูดน้ำแข็งเปล่าในแก้ว เรียกลักษณะลายปวกน้ำนี้ว่า "ใสมิง ๆ ม็อง ๆ" เป็นต้น

   การที่เราจะวางลักษณะเพื่อที่จะพิจารณาคุณค่าแต่ละเม็ด ของแก้วได้นั้นอาจจะวางลักษณะเพื่อที่จะใช้ประกอบการพิจารณาคุณค่าได้ดังนี้
     ๑. ส่วนบน ต้องดูให้ดีว่าน้ำแก้วดีแค่ไหนใสหรือไม่อย่างไร
     ๒. ส่วนกลาง ลายแก้วเป็นอย่างไรมีสลักชนิดไหน หรือมีเส้นขนอย่างไรเหมาะสมกับลักษณะของผู้ที่จะนำไปใช้หรือไม่
     ๓. ส่วนพื้น ต้องดูที่ส่วนประกอบของพื้นหรือก้นแก้วลักษณะของปวกทรายหรือเม็ดทราย ที่ประกอบอยู่ที่ก้นแก้ว

         ความศักดิ์สิทธิ์ของแร่ ควอตซ์ซึ่งพบที่อำเภอเถิน จังหวัดลำปางที่มีลักษณะทางกายภาพเฉพาะตัวแตกต่างจากที่พบตามสถานที่อื่นๆ ที่เรียกหาโดยทั่วไปว่า "โป่งข่าม" นั้นปรากฏเรื่องราวเล่าสืบต่อกันมาอย่างยาวนานนับแต่โบราณกาลจนปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าในปัจจุบันความนิยมใช้แก้วโป่งข่ามเป็นเครื่องประดับจะยังไม่สูงเท่าในอดีตเมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ก็ยังเป็นที่สนใจเก็บสะสมและเเสวงหาของผู้สนใจบางกลุ่มอย่างต่อเนื่องทั้งนี้ด้วยเหตุที่ว่า ประสบการณ์หรือความศักดิ์สิทธิ์ของโป่งข่าม นั่นเอง ผู้ที่พบกับอำนาจลี้ลับต่างซุ่มเงียบคอยแสวงหาเก็บแก้วโป่งข่าม รูปแบบต่างๆไว้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวและหวังให้เป็นมรดกกับลูกหลานที่อาจจะไม่ได้เห็นความงดงาม และประสบความศักดิ์สิทธิ์ของอัญมณีศักดิ์สิทธิ์สมบัติจากแม่พระธรณีชนิดนี้ด้วยเหตุผลที่ว่าหากพวกเขา เหล่านั้นไม่รีบแสวงหาเป็นเจ้าของเสียแต่ในตอนนี้ก็คงจะสามารถหามาครอบครองได้ยากยิ่งขึ้นเรื่อยๆหลายคน ที่เก็บสะสมต่างพูดว่าเสียดายที่เมื่อก่อนนั้นพวกเขายังไม่รู้สรรพคุณของแก้วโป่งข่ามที่ทรงความศักดิ์สิทธิ์ดีพอ จึงทำให้พลาดโอกาสเก็บแก้วโป่งข่ามลวดลายพิเศษบางชื่อที่มีคุณสมบัติสวยทั้งรูปและเรืองอานุภาพด้วยอำนาจ ลี้ลับจากขุมทรัพย์แม่พระธรณีแห่งนี้ซึ่งในปัจจุบันหายากแทบพลิกแผ่นดินทีเดียวแม้จะมีเงินสักเพียงใดก็ไม่อาจ แสวงหาเเก้วโป่งข่ามที่มีลวดลายครบถ้วนได้ตามตำราทุกแบบ และหากไม่รีบสะสมหรือแสวงหาแต่ตอนนี้ ก็เป็นไปได้อย่างแน่นอนว่า สักวันหนึ่งคงได้ยินชื่อโป่งข่ามแต่เพียงชื่อเท่านั้น

โป่งขาม ตอนที่ 3

    หากมีผู้ถามว่า ก็แก้วโป่งข่ามนั้นเป็นควอตซ์ หรือคริสตอลเหมือนที่พบในจีนและบราซิล ที่ปัจจุบันมีร้านอัญมณีในกรุงเทพฯหรือตามเมืองใหญ่สั่งเข้ามามากมาย นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไร เรื่องนี้ต้องตอบยืดยาวหลายประเด็นครับเพราะอัญมณีประเภทควอตซ์ หรือคริสตอลที่สั่งนำเข้าจากเมืองนอกนั้นมีทั้งส่วน ที่ได้จากธรรมชาติแท้และเกิดจากการนำเศษคริสตอลมาอัดด้วยกรรม วิธีทางวิทยาศาสตร์ทำให้ได้แก้วอัดซึ่งมีราคาไม่สูงมากนัก ถ้าจะว่าความสวยงามอย่างผิวเผินอาจคล้ายกันแต่ถ้าท่านเห็น โป่งข่ามแท้ๆแล้วจะรู้ว่าต่างกันมากทั้งน้ำแก้วที่ปรากฏ ออกมาที่ระยิบระยับหรือแวววาว ส่วนคุณสมบัติด้านจิตศาสตร์ ที่เป็นอำนาจลี้ลับนั้นก็ไม่ต้องพูดถึงเพราะแก้วที่ดอยขุมแก้ว อันเป็นที่กำเนิดโป่งข่ามนั้นเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ มีตำนานว่ามีเทพเจ้า ผู้ทรงมเหศักดิ์มีความศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้รักษา ดอยขุมแก้วแห่งนี้ซึ่งทำให้อานุภาพของแก้วหรือแร่ ควอตซ์ที่นี่จึงมีความลี้ลับศักดิ์สิทธิ์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์แตกต่างจาก ที่อื่นๆชนิดที่เรียกว่า หัวแก้วโป่งข่ามที่ยังไม่เจียระไนหรือเมื่อ ขึ้นรูปเป็นเรือนแหวนสวยงามแล้วก็มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเอง อย่างเด่นชัดโดยไม่ต้องอธิษฐานจิตปลุกเสกจากผู้ทรงจิตตานุภาพ แต่อย่างใดเรื่องนี้เรียกว่าพิสูจน์ได้ด้วยตัวท่านเองเพียงแต่ ขอให้มีแก้วโป่งข่ามที่แท้ๆ เท่านั้น ก็สามารถให้ผู้ทรงสมาธิ ตรวจระดับพลังงานความศักดิ์สิทธิ์ที่มีในแก้วโป่งข่ามนี้ได้ซึ่งก็เป็น ที่ยอมรับว่ามีความสูงส่งไม่แพ้พระเครื่องที่ค่านิยมเรือนแสนเลยทีเดียว และหลายท่านอาจไม่ทราบว่าพระแก้วที่พบในที่ต่างๆ นั้นไม่ใช่การเล่นแร่แปรธาตุจนได้แก้วที่เรียกว่า "แก้วน้ำประสาน" ซึ่งเป็นวิธีทำแก้วสังเคราะห์แบบโบราณตามที่เข้าใจกันโดยทั่วไป แต่ใช้การแกะสลักจากหินแก้วโป่งข่ามที่เป็นแก้วศักดิ์สิทธิ์จาก ธรรมชาตินี่ละครับที่บรรพชนท่านค้นพบและนำมา สร้างเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ให้ชาวพุทธได้สักการะเเละ เป็นการเสริมศรัทธาในพระศาสนาเพราะความศักดิ์สิทธิ์ ของมเหศักดิ์เทวราชที่คุ้มครองรักษาแก้ววิเศษนี้เอง หลายท่านที่ชอบศึกษาเรื่องราวทางเวทมนตร์หรือเรื่องลี้ลับก็คงเคย ได้ยินเรื่อง แก้ววิเศษหรือที่เรียกว่า "มณีรัตนะ" ที่ปรากฏในตำนานชาวพุทธโบราณที่อาจเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "แก้วจักรพรรดิ์" ที่ทรง พลานุภาพควรคู่ผู้มีบุญญาธิการ ซึ่งหากถามว่า แก้วมณีรัตนะนั้นเป็นอย่างไรก็ คงตอบได้ว่าคือแก้วชนิดหนึ่งที่ปรากฏบน พื้นพิภพที่มีอานุภาพในตัวเองอย่างที่เรากำลัง พูดถึงเรื่องแก้วโป่งข่ามนี่ยังไงครับ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าที่นำมาบอกเล่าสอดคล้องกับตำนานแก้วมณีรัตนะ จะขอยกเรื่องแก้วจักรพรรดิหรือมณีรัตนะที่ปรากฏในตำนาน


จักรวาลเล่มแรกของโลกที่เขียนโดยคนไทยคือเรื่อง "ไตรภูมิพระร่วง" ที่กล่าวถึงเรื่องตำนานเรื่องพระจักรพรรดิไว้จนเป็นคติความเชื่อที่กษัตริย์โบราณในสุวรรณภูมิ ทั้งหลายต่างใฝ่ฝันจนต้องแสดงพระบรมเดชานุภาพขยายอาณาจักรของตนออกไปแม้พระเจ้าบุเรงนองที่ได้รับสมัญญาว่า "ตะละพะเนียะทอเจาะหรือผู้ชนะสิบทิศ" ก็เป็นสมัญญานามที่มาจากคติในตำนานพระเจ้าจักรพรรดินี่เองครับ

โป่งข่าม ตอนที่ 4

แก้วกายสิทธิ์แห่งลานนา
    แก้วมณีรัตนะหนึ่งในรัตนเจ็ดประการของพระเจ้าจักรพรรดินั้นได้ บรรยายไว้ว่ามีสันฐานดังหนึ่งลูกฟัก หากพิจารณาดูก็พบว่าเป็นแก้วชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "แก้วโตน" ซึ่งมีสันฐานกว้างกลมและยาวออกดังฟักนั่นเองต่างแต่ว่าแก้วจักรพรรดิ ในตำนานนั้นมีขนาดใหญ่และน้ำงดงามกว่าที่พบทั่วไปมากซึ่งก็พออนุมานว่าตำนาน นั้น คงมีเค้าจากเรื่องจริงอยู่มากเพราะแก้วตามธรรมชาติที่มีลักษณะดังว่าก็มี อยู่ จึงทำให้เกิดประเพณีการสร้าง "พระเเก้ว" ขึ้นเสมือนหนึ่งการเฉลิมฉลองพระเกียรติยศ ของกษัตริย์โบราณว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่งนั่นเอง

  สำหรับแก้วโป่งข่ามที่นำมาเล่าให้ฟังนี้ก็คงเป็นสายพันธ์ตระกูลหนึ่งของ แก้วที่กำลังก่อตัว ที่อาจเรียกได้ว่าบำเพ็ญบารมีสู่การเป็น "แก้วมณีรัตนะ" หนึ่งในรัตนเจ็ดประการของผู้ทรงบุญญาธิการอย่างพระเจ้าจักรพรรดิตาม ตำนานของชาวพุทธโบราณ โป่งข่ามจึงเป็นแก้วที่สูงค่าและเสริมบารมีกับ ผู้ครอบครองที่เชื่อถือและเป็นที่ศรัทธามาแต่ครั้งบรรพกาล 

ข้อมูลจากเวป อุณลิมิต

บทสวดเจ้าแม่กวนอิมเสียงเด็ก

อัปปมัญญาเมตตา แปลไทย

เกลือแก้อาถรรพ์

เกลือกับการล้างอาถรรพ์

คนโบราณเรียกว่า โดนลมเพ ลมพัด สามารถการล้าง อาถรรพ์  สามารถนำมาใช้เพื่อกำจัดภัยได้ ภัยที่ว่าคือภัยจากสิ่งที่มองไม่เห็น อาทิ อาการ หนาว ๆ ร้อน ๆ ครั่นเนื้อ ครั่นตัวคล้ายจะเป็นไข้ ซึ่งมิว่าจะเป็นเกลือเม็ดหรือเกลือป่น เพื่อแสดงถึงการดูดโชค และป้องกันสิ่งชั่วร้าย

ความเชื่อเกี่ยวกับเกลือนี้ มีว่าเกลือสามารถขจัดสิ่งอัปมงคลและสิ่งชั่วร้ายได้ อย่างเช่นในสมัยโบราณหากมีการไปงานศพ เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก่อนที่จะเข้าบ้านจะมีการโรยเกลือที่ทางเข้าบ้านเสียก่อนจึงค่อยก้าวเท้า เข้าบ้าน หรือเพียงนำเกลือ หนึ่งกำมือใหญ่ ๆ ละลายน้ำร้อน เสร็จแล้วนำมาผสมน้ำธรรมดา ตอนนี้เราจะได้เกลือเข้มข้น เค็ม ๆ ในน้ำอุ่น จากนั้นอาบน้ำให้สะอาด เมื่ออาบเสร็จแล้ว นำน้ำเกลือดังกล่าวมาอาบราดให้ทั่วตั้งแต่ศีรษะ จรดปลายเท้า จากนั้นทิ้งไว้ สาม ถึง ห้านาที แล้วจึงล้างออกให้สะอาด จะอาบสบู่ และแชมพูสระผมอีกรอบก็ได้ สุดท้ายถ้าจะอาบน้ำมนต์อีกรอบก่อนเช็ดตัว ก็จะยิ่งดี
ศาสตร์ฮวงจุ้ย ซึ่งนำเกลือมาใช้ให้เกิดประโยชน์คือการนำเกลือมาช่วยขับไล่สิ่งอัปมงคล
บ้านเรือนใดมีปัญหามาก ๆ มีแต่เรื่อง หรือเมื่อเราไปซื้อบ้านมือสอง รถยนต์มือสอง ต้องการล้างอาถรรพ์ไม่ดีเหล่านั้น ก็โดยการนำเกลือเม็ดมามาก ๆ หน่อย ผสมกับเศษสตางค์ กี่บาทก็ได้ เมื่อผสมกันแล้ว จึงไปโปรยหว่านให้ทั่วบ้านหรือทั่วรถยนต์ ทิ้งค้างไว้ หนึ่งคืน จึงกวาดให้เกลี้ยง ใส่ในห่อผ้าขาว นำไปไว้วัด หรือโคนต้นไม้ใหญ่
อย่างไรก็ตามความเชื่อเกี่ยวกับเกลือถือว่า เกลือเป็น สิ่งที่ดึงดูดทรัพย์โชคดีเข้าบ้านได้ และยังปัดเป่าสิ่งชั่วร้ายได้ คนจีน ถือว่าเกลือนั้นแก้ฮวงจุ้ยไม่ดีได้ เช่นถ้าฮวงจุ้ยห้องน้ำไม่ดีก็จะวางชาม เกลือไว้ในห้องน้ำในครัวควรมีเกลือติดครัวอยู่เสมอ เกลือเหล่านี้จะช่วยดูด ซับเชื้อโรคและความชื้น จะช่วยให้คนในบ้านแข็งแรง ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย

มหายันต์ศรีจักรา ตินที่ 1

ศรีจักรา
มหายันต์ปาฏิหาริย์แห่งโลก มนุษย์ เทพ และจักรวาล
    ศรีจักรานี้เป็นยันต์ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของยันต์ทั้งปวงของชาวภารตะ ซึ่งถูกลอกเลียนไปใช้ในทิเบตแต่ก็ได้ไปแบบไม่ครบถ้วน เนื่องจากคติยันต์ฝ่ายฮินดูนั้นผูกสร้างอำนาจจากเทวะต่างๆด้วย การบูชาเทวราชที่เป็นรูปแบบหนึ่งของธรรมชาติ หรือบางทีคัมภีร์โบราณก็มักกล่าวว่า ธรรมชาติที่เราเห็นอยู่สัมผัสอยู่นี่ละที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเป็นเจ้าของพวกเขา ซึ่งตรงนี้ลุงกุสต้องขอบอกว่าเรื่องราวของเทพเจ้าทางพราหมณ์เขานั้นนะไม่ใช่สิ่งที่เหลวไหลไร้สาระนา แต่เป็นการศึกษาในระดับคลาสสิกทีเดียวเชียวซึ่งต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า เรื่องทรงเจ้าเข้าผีที่ก่อคดีสะเทือนขวัญที่เพิ่งผ่านมาเร็วๆนี้มันเป็นคนละเรื่องกับศาสตร์ของทางพราหมณ์เขา ซึ่งไม่นิยมยอมรับเรื่องการประทับทรงนี้เลย โดยยกเว้นพวกกลุ่มชาวทมิฬ(อินเดียใต้) ที่มักมีพิธีทรงเจ้าแต่คนฮินดูส่วนใหญ่เขาไม่ยอมรับเนื่องจากมีคติว่าร่างกายของมนุษย์นั้น หยาบเกินกว่าภาวะของเทพเจ้าจะเข้าทาบทับจนสนิทได้ซึ่งผู้ที่จะเข้าถึงเทพเจ้าได้ต้องบำเพ็ญตบะเฉพาะ และต้องแสวงสันโดษจนจิตยกระดับเป็นที่สมาคมกับมหาเทวะทั้งหลายได้ เรื่องการทรงเจ้าเข้าผีแบบดำน้ำลุยไฟนี่ละลุงกุสไม่ยอมรับกิจพิธีเหล่านี้ว่า เป็นเรื่องของเทพเจ้าหรอกเพราะจากตำรับตำราที่เชื่อถือได้พบว่าเป็นพิธีกรรมของพวกคนป่าด้อยอารยะธรรมแบบพ่อมดหมอผีวูดู ซึ่งลัทธินิยมเทวะเรียกพวกนี้ว่า “อสูรนิกาย” นิยายจีนกำลังภายในเราจะได้ยินว่า “ม้อก่า”หรือนิกายอสูรนี่ละ สำหรับสายอารยะธรรมนี่ต้องบอกว่ามาคนละด้านเลย พวกเทพนิกายนี้เดิมของอินเดียนั้นมาตอนที่เผ่าอารยันบุกเข้าส่วนกลางของชมพูทวีป และสถาปนาเผ่าพันธุ์ของตนเข้าปกครองชาวพื้นเมืองเดิมที่เรียกว่ามิลักขะซึ่งมีส่วนหนึ่งอพยพถอยร่นมาสู่อินเดียทางตอนใต้ เผ่าอาระยันก็คือบรรพบุรุษของราชวงศ์ศากยะ ซึ่งเราจะไม่แปลกใจเลยที่ลำดับเทพเจ้าในพุทธศาสนานั้น บางประการเหมือนที่ปรากฏในคัมภีร์ก่อนยชุรเวทของพราหมณ์ และเป็นต้นเรื่องราววิชาการสายพระเวทต่างๆที่แตกสาขาออกมากมายจน แม้พุทธฝ่ายเถรวาทที่ยึดมั่นในธรรมวินัยดั้งเดิมที่พระศรีศากยะมุนีก็รับเอาความรู้นี้มาปรับใช้(ระดับฆารวาสธรรม) โดยอยู่ใต้พุทธปรัชญาอย่างกลมกลืนทั้งนี้ก็เพราะต่างเป็นเรื่องราวของสัจจะธรรมในธรรมชาติจึงเรียกว่าพูดจาภาษาเดียวกันนั่นเอง

    ลุงกุสเล่าเรื่องมายิกของชาวตะวันตกมาก็หลายตอนเลยอยากนำเรื่องราวของชาวภารตะที่นับว่าเป็นต้นตำรับมายิก หรือพระเวทสายสำคัญสายหนึ่งของโลกมาเล่าสู่กันฟังบ้างและพบว่า ในกระบวนยันต์ต่างๆที่มีใช้ในบ้านเรานั้นส่วนใหญ่พัฒนาดัดแปลงมาจากสายพราหมณ์มากพอสมควร ทั้งนี้เราต้องยอมรับอยู่ว่าวิทยาการของพราหมณ์(ในระดับทางโลกีย์วิสัย) นั้นถือว่าเป็นสุดยอดของโลกสายหนึ่งทีเดียวเชียวเดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่บอก

     ชาวภารตะมักปลูกสร้างความศักดิ์สิทธิ์โดยกำหนดบูชาองค์เทวะเจ้าต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทางธรรมชาติโดยมองจักรวาลในระบบที่เปิดคือมิใช่มองแค่มนุษย์เป็นศูนย์กลาง แต่มองในโลกธาตุที่มีภพภูมิอื่นๆร่วมอยู่ด้วยทั้งไม่ได้จัดระดับมนุษย์ให้สูงหรือต่ำเกินไปแต่อยู่บนหนทางเลือกแบบว่า “จิตวิญญาณเสรี”อย่างไรอย่างนั้นคือจะเลือกไปดีไปชั่วได้ด้วยศรัทธาและปัญญาของตัวเองที่จะนำพาพฤติกรรมของตนเป็นการสร้าง “กรรม” ที่ชักนำสถานะของตนไป เรื่องเทพเจ้าของภารตะถูกนำมาผูกสร้าง “มหาวิทยา” คือความรู้ที่ยิ่งใหญ่สองประการคือ ยันตรา และมันตรา กล่าวว่าทั้งสองประการคือเส้นสายของจักรวาลที่ถักทอเป็นชาติภพหรืออาจเรียกว่า มายาแห่งประชาบดีก็บ่มิผิด(เอ้าว่าเข้านั่น) ยันตราเป็นคลื่นของแสง ส่วนมันตราเป็นคลื่นของเสียง เรียกว่า มีทั้งคลื่นตามยาวและคลื่นตามขวางเลย หลักการดังกล่าว ยันตราและมันตราต่างๆจึงมีความเข้มขลังที่เป็นพลังงานศักดิ์สิทธิ์สากล ที่เสมือนหนึ่งจิตวิญญาณสากลแห่งจักรวาลได้รังสรรค์สร้างให้มนุษย์ได้รู้จักเรียนรู้เพื่อค้นพบตัวตนที่แท้จริงว่า อัตตาของตนนั้นคือสถานะใดในอุ้งหัตถ์แห่งประชาบดี(ธรรมชาติผู้สร้าง,พระเป็นเจ้า)

มหายันต์ศรีจักรา ตอนที่ 2

ศรีจักรา
มหายันต์ปาฏิหาริย์แห่งโลก มนุษย์ เทพ และจักรวาล (ตอนที่ ๒)

    การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกาลเวลาของยุคต่างๆที่ซ้อนมิติอยู่ในจักรวาล ซึ่งโดยปกตินั้น จะแสดงสถานะยุคทางกาลเวลานั้นสี่สถาน เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นยุคสร้าง จนสิ้นสุด(มหากาลียุคคือปัจจุบันนั่นเอง) ซึ่งเป็นการดับยุคแล้วเกิดวัฏฏะยุคทางกาลเวลาใหม่ สิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏในการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะทั้งระบบที่โลก เป็นแกนในการสร้างความสัมพันธ์กับดาวเคราะห์อื่นๆนั้น ก็จะมีลักษณะการอย่างเช่นการเกิดจุดสุริยะฉายเป็นเสมือน ประตูสวรรค์สี่ครั้งตามที่กล่าวมานั้นก็ตาม ลักษณะดังกล่าวยังปรากฏให้เห็นเป็นฤดูในปีนั้นก็มีความแตกต่างตามสภาวะที่ปรากฏในธรรมชาติ ซึ่งบางคนอาจถกเถียงว่า บางส่วนอย่างพื้นที่ตรงใกล้เส้นศูนย์สูตร หรือบริเวณขั้วการหมุนของโลกนั้นจะมีฤดูกาลปรากฏให้เห็นไม่ถึงสี่ฤดูกาลก็ขอแก้ว่า ฤดูทั้งสี่นั้นยังมีอยู่แต่ช่วงที่ปรากฏในแต่ละพื้นที่นั้นเหมือนจุดเงา ที่บางบริเวณอาจเกิดการทาบซ้อนหรือมีระยะสั้นจึงไม่อาจสังเกตเห็น ความเป็นไปดังกล่าวย่อมแสดงให้ประจักษ์แจ้งถึงประตูแห่งจักรวาล ที่มีอยู่ถึงสี่ด้านและเป็นที่มาของเทพผู้พิทักษณ์ที่เรารู้จักในคติพุทธศาสนาว่า จตุโลกบาล ยังไงละหลานๆ ซึ่งกระบวนดาวฤกษ์ดาวเคราะห์ ทั้งหลายนี้จะมีแรงกระทำต่อกันอยู่ตลอดจึงรักษาสถานะที่เป็นในขณะนั้น ได้หากดาวใดหรือสิ่งใดมีการเปลี่ยนแปลงภายในที่รบกวนระบบใหญ่ก็จะเกิดการไม่สมดุล และดำรงอยู่ไม่ได้ ความรู้นี้จึงเกิดปรัชญาเรื่อง “กรรม” ของพราหมณ์ที่มีนัยใกล้เคียงกับที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ(กฏไอแซคนิวตันทั้งสามข้อ)คือ “หากกรรมเพียงนิดปรากฏก็กระเทือนทั่วจักรวาล” การกระทำของใครก็ตามจึงส่งผลต่อระบบจักรวาล ทั้งระบบต่างที่ผลปรากฏจะมากน้อยกว่ากันเท่านั้น หลักกรรมที่ว่าจึงเกิดจารีต “อหิงสา” คือการไม่เบียดเบียนเป็นการรักษาตัวเอง และระบบไว้เพราะเชื่อว่าหาก กรรมที่มนุษย์ร่วมกันก่อมากๆก็อาจมีผลกระทบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ต่างๆที่แปรปรวนไปเรื่องนี้ดูจะสอดคล้องกับหลักศาสนาใหญ่ทุกศาสนาเลยละ (ไม่รู้ว่า คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ จะเกี่ยวหรือไม่? แต่นักศาสนาหลายคนเชื่อว่าเป็นสัญญาณเตือนมนุษย์จากบางสิ่งบางอย่างว่าให้ปรับการกระทำของตนเสียใหม่) ขณะที่จักรวาลดำเนินธรรมชาติความเป็นไปที่เล่ามา โดยในระหว่างที่ยุคกาลเวลานี้ยังดำเนินไปนั้นจะมีพลังงานบางประการรักษาสมดุลของจักรวาลไว้คือ ก่อเกิด(พรหม) รักษาสถานะ(นารายณ์) ทำลายเพื่อสร้างสภาวะใหม่(ศิวะ) รวมเรียกว่า “พระเป็นเจ้า” นั่นเอง โดยอาศัยแบบจำลองเสาหลักของกาลเวลาที่เรียกว่า “ศรีไกรลาส” ซึ่งเป็นจุดที่กาลเวลาสงบนิ่งที่อดีต ปัจจุบันและอนาคตเป็นหนึ่งเดียวกันอาจกล่าวว่าลักษณะเช่นนี้เป็น การตกผลึกของวัฏฏะจักรการเวลาซึ่งได้กำหนดเหตุการณ์ดังกล่าวในลักษณะภาพรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งในทางวัตถุนั้นเราไม่อาจเห็นได้ง่ายนัก แต่โดยหลักวิชาทางพราหมณ์ยุคก่อนได้เรียนรู้กลไกการเคลื่อนขยายอาณาเขตของจักรวาล ที่มีการสามารถเล็งหาจุดศูนย์กลางการเคลื่อนออกนั้น (ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ก็ยอมรับว่า จักรวาลขยายตัวออกทุกขณะ) ในทางวัตถุนั้นหากหลานๆลุงกุสอยากจะลองค้นคว้าเรื่องสถานที่ที่เป็นจุดยึดตรึงกาลเวลา ก็สามารถหาได้จากเข็มทิศที่ลองวางแนวเข็มทิศที่เป็นสนามแม่เหล็กในบ้านดู ก็จะพบว่าแต่ละพื้นที่มีเส้นแรงแม่เหล็กที่ไม่เป็นแนวเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้ก็เนื่องจากกลไกของวัตถุต่างๆในบ้านที่สะท้อนพลังงานแม่เหล็กโลกออกมาไม่เหมือนกัน ซ้ำปัจจุบันได้มีการค้นพบและใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าในชีวิตประจำวันมากมาย จนเกิดสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ามั่วไปหมด จุดยึดตรึงต่างๆที่สามารถอยู่ในระนาบเดียวกันได้ย่อมเกิดเส้นแรงลัพธ์ ซึ่งหากเราขีดเส้นแนวแกนขั้วแม่เหล็กจากจุดต่างๆได้มากพอก็จะเห็นแนวๆหนึ่ง ที่เป็นแกนหลักของแนวเล็กๆในสนามแม่เหล็กบริเวณนั้นเสมอ (ในหนึ่งตารางเมตรต้องทำแนวขั้วแม่เหล็กหรือแนวเข็มทิศอย่างน้อยหกสิบจุดในอัตราเฉลี่ยต่อพื้นที่ ที่ใกล้เคียงหรือก็คือแบ่งพื้นที่นั้นออกให้ได้อย่างน้อยหกสิบส่วนนั่นเอง) แนวแกนที่ว่าจะเป็นจุดยึดตรึงเวลาหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในบริเวณนั้น ซึ่งหากเราพบว่าวันใดแนวแกนที่ว่านั้นมีการเบี่ยงเบนเกินกว่าหนึ่งองศาครึ่ง ก็จะแสดงว่าสนามแม่เหล็กในโลกอาจมีการกระทบจากคลื่นพลังงานบางอย่าง และมีการบิดตัวเนื่องจากเกิดการประทุใต้โลกซึ่งนั่นก็คือการบอกเหตุของแผ่นดินไหวนั่นเอง) ความรู้นี้เท่าที่ลุงกุสค้นและคว้ามานั้นคงยังไม่อาจยืนยันตามหลักวิทยาศาสตร์ได้สักเท่า เพราะถามใครก็มักได้ความแบบไม่จบเรื่องซักกะที ที่ลุงกุส(เจ้าเก่า)ยกมาเล่าก็เพื่อให้ลองทดสอบและสร้างความเข้าใจตลอดจน พิสูจน์เรื่องสนามพลังงานในชั้นต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราโดยจะเข้าใจได้ในระดับที่สูงขึ้นได้เองว่า “ศรีจักรา” นั้นทำงานอย่างไร?


      เรื่องสนามแม่เหล็กที่อีตาปาปิลุสนำมาขยายความในคอลัมน์ศาสตร์ปาฏิหาริย์ข้างๆ ลุงกุสนี้ในสมัยก่อนที่ยังไม่พบแม่เหล็กและวิธีใช้ซึ่งจากประวัติที่มีพบว่า จีนพบก่อนชาติแรกไม่เห็นจะไปเกี่ยวกับชาวภารตะที่เป็นต้นเรื่องศรีจักราตรงไหน หากเราคิดคงแค่นี้ก็คงไม่มีเรื่องมาฝอยต่อแต่ลุงกุสนั้นอยู่ไม่สุขค้นไปค้นมาจนพบว่า ชาวอินเดียหรือภารตะโบราณนั้นยังรับอารยะธรรมจากแอตแลนติส และอาณาจักรไมโนอันที่รุ่งเรืองวิทยาการแบบวิทยาศาสตร์และฮอทสุดๆผ่านมาทางชาวกรีก ที่ไปมาหาสู่กันและขอเฉลยต่อเลยว่าที่เรียกว่า “ชมพูทวีป” ที่หมายเอาว่ามีสัญฐานเหมือนต้นหว้านั้นไม่ผิดหรอกเพราะเมื่อหลายหมื่นปี (อาจถึงแสนปี)ก่อนนั้น “อินเดียเป็นเกาะขนาดใหญ่” ที่เพิ่งเคลื่อนตัวมาบรรจบกับทวีปเอเชียเมื่อไม่นานมานี้เอง(แต่ก็คงหลายหมื่นปีแหละ) ใครอยากพิสูจน์ความรู้นี้ให้ไปที่ “กรมทรัพยากรธรณี” ที่เป็นหน่วยงานราชการอยู่ที่กรุงเทพฯแถวถนนพระราม ๖ ตรงข้ามโรงพยาบาลรามาธิบดี จุดแสดงพิพิธภัณฑ์หินแร่เขาจัดแสดงการเลื่อนตัวของแผ่นดินในยุคเวลาต่างๆเอาไว้ให้ดูอยากพิสูจน์ก็ไปดูเอาเอง (ไม่เสียค่าเข้าชม)เดี๋ยวจะหาว่าลุงกุส(เจ้าเก่า)ไม่บอก

     ที่นี้แกนที่เป็นศูนย์กลางพลังงานต่างๆบนโลกที่เหล่าดาวเคราะห์ใหญ่น้อย และดาวฤกษ์ร่วมกระทำที่ชาวภารตะเรียกว่า “เทพนพพระเคราะห์” นั้นละจะมีจุดศูนย์กลางแรงลัพธ์อยู่บนพื้นที่ต่างๆกระจายอยู่ทั่วโลก ที่เห็นๆก็ ปิรามิดในประเทศ อิยิปต์ไง ส่วนในภารตะหรือ อินตะระเดีย(อินเดีย)นั้น เขาค้นพบเขาลูกหนึ่งมีสีขาวอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยปัจจุบันจุดนี้อยู่แถบเนปาลตรงรอยต่อกับทิเบต มีพลังงานในระดับเข้มข้นมากและภูเขาลูกนี้ดูแปลกคือสีของภูเขานั้นออกขาวโพลน ทั้งที่พื้นดินด้านล่างๆลงมามีสีดำตามปกติก็เลยเรียกตามลักษณะว่า ไกรลาส ซึ่งแปลว่า เขาเผือก (ขาว)นั่นเอง อันว่าเขาไกรลาสนี้เองและที่เหล่าโยคีนักบวชต่างนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนา เลยจัดคอนโดเอ้ย!!!! วิมานสถิตให้มหาเทพองค์สำคัญคือ สดาศิวะ ท่านประทับอยู่ ในแต่ละปีจะมีโยคีผู้นับถือ สดาศิวะอย่างจริงจังจำนวนมากเสี่ยงตายต่อสู้กับความหนาวเหน็บจาริกเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปประทักษิณ (การแสดงการเคารพด้วยการเดินรอบสิ่งนั้นในทิศทางตามเข็มนาฬิกา)รอบเขาลูกนี้แล้วกล่าวปัญจมหามนต์ที่ว่า “โอมนมัสศิวา” ว่ากันว่ากว่าจะครบรอบหนึ่งต้องว่ามนต์ห้าพยางค์นี้เป็นพันๆหมื่นๆครั้ง และกลับมาด้วยของที่ระลึกนับถือแทนองค์สดาศิวะเป็นเพียงหินสีดำก้อนเล็กๆก้อนเดียว เรียกว่า “ศรีไกรลาสศิลา” ซึ่งนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก

     โดยที่หลักไกรลาสหรือเสาหลักกาลเวลานี้ จะเป็นเหมือนหลักการที่ใช้ในการเปิดมิติเร้นลับของจักรวาลได้ในทุกสิ่ง พบว่าวิชาพราหมณ์บางแขนงก็ยังมีการกล่าวถึงกระดูกสันหลังเป็นเสา พระสุเมรุหรือแกนไกรลาส และบางทีก็ยังพบว่า เรียกกลุ่มประสาทบางกลุ่มในสมองที่มีรูปทรงเหมือนปิรามิด(Pyramidal) ว่าไกรลาส

มหายันต์ศรีจักรา ตอนที่ 3

มหายันต์ปาฏิหาริย์แห่งโลก มนุษย์ เทพ และ จักวาล (บทสรุป)     (ศรีจักราบทสรุปต่อจากฉบับที่แล้ว) ........... การใช้ศรีจักราเพื่อสร้างความสมดุลในสถานที่
เพียงนำศรีจักราเล็กแบบติดตัวหรือจะเป็นแบบเฉพาะที่ใช้ตั้งก็ได้ซึ่งประการหลัง จะส่งผลที่ชัดเจนกว่าแต่ไม่จำเป็นเท่าจิตของเราที่สามารถต่อจิตถึงศรีจักราในมิติทิพย์ได้มากเพียงใด โดยนำศรีจักรามาตั้งในบริเวณที่คิดว่าเป็นย่านกลางของพื้นที่ อันนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ววาง ศรีจักราให้สมมาตรกับแนวทิศเหนือใต้ออกตกโดยใช้แนวสุริยะวิถีเป็นแนวเทียบเคียงในกรณีนี้ บางคณะก็ดัดเเปลงอย่างแบบปิรามิดโดยใช้แนวเเกนสนามเเม่เหล็กของพื้นที่นั้นแต่ยากตรงที่ต้อง ใช้เเม่เหล็กหาแนวต่างๆในห้องซึ่งอาจไม่ใช่เเนวเดียวกันเนื่องจากในห้องนั้นอาจมีคานเหล็ก หรือคอนกรีตเสริมเหล็กที่ทำให้สนามแม่เหล็กภายในสถานที่นั้นเกิดการเบี่ยงเบนจากสนามแม่เหล็กโลก ก็อย่างที่ซินแซฮวงจุ้ยของจีนใช้หล่อแก(เข็มทิศฮวงจุ้ย) หาจุดมงคลของสถานที่ในห้องนั้นนั่นเเหละ อันนี้ แล้วแต่จะเลือกผลแตกต่างกันบ้างแต่ไม่ถือเป็นสาระสำคัญ แก่นเเท้คือที่ต้องใช้จิตมนุษย์เป็นตัวเหนี่ยวนำพลังงานผ่านสื่อคือศรีจักรายันตรา มีข้อห้ามอยู่อย่างคือเมื่อวางเเล้วห้ามถูกต้องสัมผัสอีกเสมือนเรา กำหนดจุดนั้นเป็นแกนพลังงานพื้นที่ถ้ามีใครไปถูกต้องเคลื่อนย้ายก็เป็นอันว่าอาจแปรปรวนต้องตั้งใหม่ ความเข้มข้นของพลังนั้นอย่างที่บอกก็คือจะกระจายออกจากมุมต่างๆของศรีจักราเเบบอิออนพลังจิตที่ ปรับเปลี่ยนออร่าในสถานที่นั้นให้เป็นไปตามประสงค์ที่ต้องต่อจิตคือกำหนดถึงศรีจักราเขาบ่อยครั้งเท่าไร ก็เท่ากับเปิดประตูให้ทิพยะอำนาจลงสู่สถานที่ซึ่งจะเปลี่ยนบรรยากาศในสถานที่นั้นให้มีพลังมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งจะเกื้อกูลต่อการสมาคมกับเทวะอำนาจที่มีภาวะละเอียด ส่วนจะสื่อกับเทวะในทิพยรูปได้หรือไม่ได้นั้น ขึ้นกับอายตนะของแต่ละบุคคลที่จะเปิดรับการสิ่อนั้นๆได้เเค่ไหนโดยพื้นที่บริเวณนั้นนับว่ามี ส่วนสำคัญหากพลังงานเข้มข้นสูงก็สื่อได้ง่ายอย่างบริเวณที่เรียกว่า "ลับแล" หรือ "บังบด" นั่นไงที่มีคนพบเรื่องราวนอกเหตุผลต่างๆก็เนื่องจากบริเวณนั้นอาจมี อะไรสักอย่างที่ทำให้มีพลังงานในพื้นที่สูง(อาจดำหรือขาวก็ได้) ก็จะเกิดอำนาจลี้ลับในพื้นที่นั้นอย่างกับที่เกจิสยามนิยมทำเครื่องรางที่บูชาเพื่อสร้างภาวะที่ต้องการ อย่างยันต์โชคลาภ ค้าขายแต่ไม่ได้โม้นะว่าศรีจักรานี่เหนือกว่า ซึ่งศรีจักรานี้นับว่ามีลูกเล่นลูกชนที่ครบด้านและเป็นไปแบบอัตโนมัติ คือหากกระเเสพลังรอบนอกแปรเปลี่ยนศรีจักรานี่จะปรับให้เสร็จศัพท์พลังงานจึงไม่ลดทอน

     การใช้ศรีจักราเพื่อเสริมพลังกับแท่นที่บูชา ก็เพียงแต่วางศรีจักรา ในทิศทางที่หันสามเหลี่ยมด้านบนสุดมาทางตัวเราก็จะสร้างอำนาจในเเท่นบูชา ขึ้นอย่างมากท่านที่เห็นออร่าจะสามารถสังเกตุได้ถ้าวางศรีจักราในบริเวณหิ้งพระ (เทพ) ประมาณหนึ่งสัปดาห์ลองดูออร่าที่หิ้งอีกทีจะเห็นเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะบริเวณนั้นจะสื่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ดีขึ้นนั่นเอง (ถ้าเราบูชาพระพุทธจะเห็นออร่าสีฟ้าชัด ถ้าเป็นเทพชั้นสูงสีทอง ถ้ารองลงมาก็เป็นภาวะตามรัศมีกายเทพองค์นั้นๆ)

     การใช้ศรีจักราติดตัว ก็เพียงแขวนให้อยู่ระดับจักระที่สี่คือระดับหัวใจคือ สูงจากกระบังลมประมาณ ๒-๓ นิ้ว (sternum)แต่ถ้าจะใช้ขยายจักระบริเวณใด ให้วางบนจักระนั้นอย่างต้องการขยายจักระ ที่หกเพื่อเพิ่มสมรรถนะตาที่สาม คือความหยั่งรู้หรือปัญญาญาณที่ไม่ใช่เรื่องตาทิพย์เพียงอย่างเดียว ก็นอนหงายทำตัวสบายๆวางจิตใจให้สบายผ่อนคลายหายใจลึกๆสัก๑๐ครั้งวางศรีจักราขนาดติดตัว (อย่าใช้ขนาดตั้งโต๊ะวางนะจะเพราะเดี๋ยวหัวจะยุบมันหนักมาก) ให้จุดพินทุอยู่เหนือระหว่างกลางคิ้วประมาณ ๑-๒ เซนติเมตร หลับตานอก(ปิดเปลือกตา) แล้วเหลือกตาในคือลูกตาเพ่งมองตรงจุดพินทุที่คะเนตามความรู้สึกว่าศรีจักราอยู่ จินตภาพให้เห็นจุดเเสงสีฟ้าอมม่วงลักษณะสว่างใสเป็นประกาย แล้วกล่าวมนตราอะไรก็ได้ที่คุณนับถือถ้ามีบทเฉพาะศรีจักราว่า "โอม ฮะรี ชะรีง นะมะฮา" ว่ายาวๆหายใจลึก ไปเรื่อยๆจะรู้สึกเหมือนเสียวตรงหน้าผาก หรือตึงตรงหน้าผากรักษาอาการนั้นไว้ ทำครั้งละไม่เกิน ๑๐ นาที ห้ามเกินเด็ดขาดเพราะอาจจะปวดศรีษะเนื่องจากจักระขยายเร็วเกินไป ให้หมั่นทำอย่างน้อยวันละ ๑ ครั้งห้ามเกินวันละ๓ครั้ง ลองฝึกดูผลเป็นอย่างไรยังไม่บอก ของจริงจะรู้ด้วยตัวเองผู้ได้ประสบการณ์อะไรแปลกๆเขียนจดหมายมาจะตอบรายบุคคล

    การใช้ศรีจักราในการบำบัดอาการป่วยบางระดับ ที่อาจเป็นการผิดปกติจากความไม่สมดุลของร่างกายที่มีสาเหตุจากร่างกายเองหรือได้รับพลังแฝง วางศรีจักราบนฝ่ามือพินทุอยู่ตรงเส้นสุขภาพของลายมือคะเนกลางฝ่ามือ ให้กำหนดถึงศรีจักรา กล่าวมนตราจนรูสึกถึงพลังที่แผ่มาครอบคลุมจากนั้นนึกถึงเทวะที่ท่านศรัทธากล่าวบูชา(สรรเสริญคุณ) แล้วขออำนาจให้บำบัดอาการดังกล่าว หายใจเข้าออกยาวๆแบบสบายๆ ทำประมาณสิบห้านาทีกำหนดจิต ที่ศรีจักราดึงความศักดิ์สิทธิ์เข้าตัวกล่าวมนตราความเร็วระดับที่รู้สึกว่ากำลังสบายไม่เร็วช้าไป (ใช้ความรู้สึกเราเป็นตัวกำหนด) หากเจ็บปวดที่ไหนให้กำหนดนำ สิทธิอำนาจความศักดิ์สิทธิ์นั้นไปละลายจุดนั้นจินตภาพให้ความป่วยไข้ให้หายไปหายใจออกยาวๆ (ทำเสร็จแล้วควรอาบน้ำชำระไอโรคทันที)

      สำหรับการบำบัดอาการเจ็บป่วยให้ผู้อื่นทำลักษณะเดียวกับทำให้ตัวเราเองโดย ขอให้ศรีจักราคุ้มครองเราก่อนจินตภาพกำหนดรัศมีครอบคลุม จากนั้นขอพลังจากศรีจักรา(วางที่มือซ้าย) ให้ผ่านตัวเรา ออกทางมือขวา ห่างจากที่บำบัดประมาณ ๑ นิ้วหรือจะวางสัมผัสเบาๆก็ได้กำหนดพลัง ให้เล็กเเหลมเป็นเส้นปลายเข็มสีขาว (ขั้นต้น) ส่วนระดับกลางระดับสูงต้องแนะนำเฉพาะ กำหนดพลังให้พุ่งไปที่จุดที่ต้องการบำบัดละลายความเจ็บป่วยนั้นถ้าเป็นพลังแฝงพวกวิญญาณร้าย หรืออำนาจลี้ลับจะรู้สึกถึงการต่อต้านเช่นร้อนผ่าว เต้นตุ๊บตุ๊บ หรือ เหมือนเข็มเเทงสวนเจ็บจึกจึก ให้หายใจออกยาวๆ ช้าเร่งภาวนามนตราจะละลายพลังนั้น โดยไม่ยากเคล็ดคือคิดว่ากำลังที่ส่งไปนั้นเเข็งเหมือนหัวเพชร สามารถบดสลายพลังเหล่านั้นได้ทุกพลัง ระหว่างทำต้องต่อจิตกับศรีจักราตลอด(ควรชำนาญในขั้นอื่นๆมาก่อน) การบำบัดพลังแฝงควรขอพลังอำนาจจากเทพที่ชำนาญการปราบอำนาจชั่วร้ายอย่าง นารายณ์ ศิวะ ท้าวเวสสุวัณ พระขันธกุมาร เจ้าแม่กาลี เป็นต้น หลังการบำบัดทุกครั้งไม่ว่าตัวเองหรือทำให้ผู้อื่นต้องกล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้พลังอำนาจทุกครั้ง จากนั้นให้อาบน้ำเพื่อชำระไอโรค(อาจเตรียมน้ำโดยใช้อำนาจศรีจักราก็ยิ่งดี โบราณบ้านเราเรียกปรับธา
ตุ

เครื่องราง ลาปิส ลาซูลี่

แหวนลาปิส ลาซูลี่
     เป็นแหวนที่สร้างตามศาสตร์มายิกโบราณของชาวไอยคุปต์ที่นับถือพลังสูงสุดในจักรวาล คือพระอาทิตย์แห่งจิตวิญญาณหรือที่เรียกว่า "รา" รูปธรรมพลังจิตที่มีอำนาจสูงสุดต่อการพัฒนามนุษย์ สู่พลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ในตัวตนของตนเอง เป็นการเหนี่ยวนำพลังงานทางธรรมชาติเข้าสู่กายมนุษย์ที่สามารถพัฒนาสมรรถนะในด้านต่างๆ อย่างเป็นรูปธรรมโดยไม่กระทบกระเทือนต่อระบบพลังงานทางกรรมที่เป็นฐานการสร้างปรากฏการณ์ชีวิต ที่เรียกว่า "ชะตาชีวิต" อีกทั้งเป็นการพัฒนาพลังงานทางชีวะ ที่เป็นฐานสำคัญประการหนึ่งของ "จิตวิญญาณ" ที่กำลังก้าวสู่การเรียนรู้ต่อการเป็น "อภิจิต" โดยเติมให้เต็มในส่วนที่ขาด และสร้างสมรรถนะฟื้นฟูพลานุภาพทางจิตที่เคยมีแต่เราละเลย

          หลักการ
   ใช้การทำสมาธิแบบลืมตาที่เป็นการรักษาสมรรถนะพลังงานทางจิตวิญญาณที่เรียกว่า สำนึกทางจิต โดยเราอาจรู้จักในคำที่ว่า "สติ-สัมปัชชัญญะ" โดยกำหนดจุดคิดคำนึง(ไม่ใช่การเพ่งอย่างเคร่งเครียดแต่เป็นการนึกถึงเท่านั้น) ที่บริเวณหว่างคิ้วหรือตาที่สาม (จักระที่6) ในสภาวะจิตที่ตื่นคือไม่พยายามบังคับหรือกระทำในลักษณะ สะกดจิตตนเอง แต่ใช้การคำนึงถึงสภาวะอารมณ์ที่ปล่อยวางผ่อนคลายสร้างอิสระในจิตของตนเองอย่างเต็มที่ แล้วกำหนดตัวเราให้เป็นสภาวะเดียวกับจักรวาลหรือธรรมชาติ โดยพยายามรักษาสภาพจิตใจที่เป็นกุศลปล่อยวางในทุกขณะที่สามารถทำได้ประกอบการคำนึงถึงจุดตาที่สาม เพียงเท่านี้พลังอำนาจที่เเท้จริงของจิตวิญญาณก็จะค่อยพัฒนาสู่ความสมดุลพลังอำนาจที่เรียกว่า "พลังแห่งมหภาคหรือจักรวาล" ก็จะหลั่งไหลเข้าสู่ตัวเรา (Sar;โลหิตเเห่งเทพ) ทำให้เรามีอำนาจจิตอำนาจรูปธรรมทางกายที่มั่นคงเสถียรขึ้น จะสังเกตได้จากการมีจิตใจที่เยือกเย็นมั่นคงไม่หวั่นไหว สงบ อันเป็นลักษณะที่แท้จริงของพลังธรรมชาติ จากนั้นเราจะเป็นผู้ที่อยู่เหนือสรรพสิ่ง คือปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ชีวิตต่างๆจะเริ่มปรับสมดุลสู่จิตปรารถนา เป็นการสร้างภาวะสมดุลทางอารมณ์สู่พลังอำนาจทางกายที่ไร้ขีดจำกัด อย่าง "คิดในสิ่งที่เป็นจริงและเป็นจริงในสิ่งที่คิด"

ดวงเนตรแห่งรา สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่งการคุ้มครอง และการยกจิต เข้าถึงปัญญาญาณ

  วัสดุการจัดสร้าง
   เรือนเเหวนขึ้นด้วยเงินแท้อัตรามาตราฐานงานจิวเวลลี่ ที่ 92.5% โดยผสมทองแดงบริสุทธิ์ซึ่งถือเป็นธาตุสำคัญที่ชาวไอยคุปต์เชื่อถือว่า สามารถสื่อกับจิตภายในได้ในวิชาเล่นแร่แปรธาตุของชาวสยามก็เรียกทองแดงว่า "บริสุทธิ์" และโลหะบางชนิดที่ทำให้เกิดการเสริมสร้างพลังงานระหว่างทองเเดงกับเงิน ด้านข้างเรือนเเหวน ตอกสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ "ดวงเนตรแห่งรา"และดาวแห่งการหยั่งรู้ "ซิริอุส" เพื่อเปิดผลึกแห่งจิตให้เข้าสู่ภาวะพลังงานสากล ด้านล่างท้องแหวน เป็นสัญลักษณ์รูปผลึก "เมอร์คาบา" ดาวหกเหลี่ยมที่นับเป็นฐานการกล่าวสู่อำนาจที่เรียกว่า "จิตวิญญาณสากล" คือการเข้าถึงตัวตนที่แท้ของเราโดยให้พลังงานของ "หินแห่งรา" (Lapis-Lazuli) แผ่พลังงานลงสู่ตัวเราด้วยการฉายเงาแห่งสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์นี้สู่ร่างกายมนุษย์ (นิ้วที่สวมแหวน)

   หัวแหวนใช้ "ลาปิส ลาซูลี่" (Lapis-Lazuli) คือหินธรรมชาติ ที่ช่วยให้ร่างกายมีพลังอันเข้มแข็งเป็นรูปธรรมในช่วงที่จิตวิญญาณถูกปลุกให้ตื่นขึ้น เป็นหินที่ช่วยเปิดจิตใจออกรับพระผู้เป็นเจ้าปกป้องคุ้มครองให้พ้นจากอันตรายทางด้านไสยศาสตร์ การคุกคามจากอำนาจเร้นลับจิตวิญญาณ และความรู้สึกหดหู่ หมดกำลังใจ เศร้าหมอง ขณะเดียวกันก็ยังสร้างเสริมทางด้านสติปัญญา กระตุ้นพลังทิพย์ที่อยู่ภายในให้สามารถมองเห็นทุกสิ่งได้ชัดเจนขึ้น

     ลาปิส ลาซูลี่ เป็นหินแห่งสัจธรรม คุณงามความดีอันสมบูรณ์แบบเป็นหินแห่งเทพเจ้าในเนื้อหินสีน้ำเงินเข้มนั้น จะมีละอองทองประสมอยู่(ถือเป็นลักษณะสำคัญในการเลือกใช้หินชนิดนี้นอกจากสี) มันเป็นหินธรรมชาติที่พระราชวงศ์ไอยคุปต์โบราณนิยมใช้อย่างยิ่ง ซึ่งจะพบได้ในประวัติศาสตร์แห่งอียิปต์และยิวสมัยโบราณ และลาปิส ลาซูลี่ ยังเป็นประหนึ่ง "ไพลิน" บนเสื้อคลุมของนักบวชชั้นสูงในสมัยโบราณอีกด้วย ทั้งยังถูกบดเป็นผงเพื่อนำมาทำเป็นเครื่องสำอางตกแต่งดวงตาให้สวยงาม เป็นหินธรรมชาติที่นักพลังจิตระดับโลกต้องมีไว้เพื่อพัฒนาพลานุภาพทางจิตของตนเอง ในสหรัฐอเมริกา ใช้ประกอบการรักษาทางพลังจิตสมัยใหม่ที่เรียกว่า Healing

     เลือกแบบการเจียรนัยรูปหลังเบี้ยหรือโดมอันมีความหมาย ในทางศาสตร์มายิกโบราณถึงท้องฟ้า อันเป็นสัญลักษณ์ของครรภ์แห่งจักรวาลคือ พลังงานแห่งการก่อกำเนิดเเละสร้างสรรค์ เป็นเสมือน เลนซ์ที่รวมพลังงานจักรวาลจากภายนอกเข้าสู่ตัวเรา หัวแหวนเลือกใช้ Lapis-Lazuli เนื้อสีคราม(น้ำเงินเข้ม) เพื่อพลังอำนาจในการเข้าถึงจิตวิญญาณที่สูงสุด (สีคราม ระดับพลังงานแห่งจักระที่6) ทุกชิ้นผ่านการโปรแกรมโดยการแช่ในน้ำมันที่คั้นจากธัญญพืชบริสุทธิ์ ดอกไม้ และอัญมณีทางพลังจิตอีกนับสิบชนิดโดยโปรแกรมกับ พิรามิด สร้างสมดุลเพื่อเสริมสร้างพลังงานของ "หินแห่งรา" ให้ทรงอานุภาพที่สูงสุด (วิธีโปรแกรมพลังจิตเข้าสู่อัญมณีพบครั้งแรกในอารยธรรมไอยคุปต์)

การพักกรรมของมหายาน

           
            พระพุทธองค์ ได้ทรงแสดงธรรมไว้อย่างละเอียดว่า  หากมนุษย์มีความสุขอยู่ในทรัพย์สมบัติ หรือสิ่งที่ตนรักและหวงแหนก็ดี ก็จงอย่ามัวหลงเพลิดเพลินอยู่ในความสุขนั้นมากจนเกินไป  แต่ควรหาโอกาสสะสมสร้างบุญกุศลกันต่อไปอีก เพื่อเป็นทุนรอนในการที่ชะตาชีวิตจะหมุนไปสู่ทุกข์ตามกฏแห่งกรรม ที่ตนเองเป็นผู้ก่อขึ้นทั้งในอดีตชาติ และ ชาติปัจจุบัน”
            พระองค์จึงทรง สอนในเรื่องทุกข์ ให้รู้ถึงบ่อเกิดแห่งทุกข์ ให้รู้ถึงการกระทำของตนเองที่ผ่านมา และอย่ามัวไปโทษว่าเป็นความผิดของผู้ใด หรือสิ่งใดทั้งสิ้น   เพราะหลักของพุทธศาสนา ต้องการให้ทุกๆ ผู้เรียนรู้ด้วยตัวของตนเองและพิจารณาตัวของตัวเอง มิใช่ที่จะมัวแต่ไปพิจารณาผู้อื่น ทั้งนี้เพื่อให้รู้ว่าตนเองนั้นยังมีกิเลสครอบงำอยู่หลายประการที่ควรพิจารณาสะสางให้หมดไป
            นอกจากนั้น พุทธศาสนายังสอนให้พิจารณาถึง “ธรรม” และ “ตัวกระทำ” ว่าควรจะประพฤติปฏิบัติอย่างไรเพื่อต่อสู้กับวิบากกรรมต่างๆ และให้มีการกระทำที่เป็น การชำระล้างตนเองจากเจ้ากรรมนายเวร ที่มีความอาฆาตพยาบาทและตามจองล้างจองผลาญ อันเป็นหนี้กรรมที่ผูกพันกันมา และต้องชดใช้กันไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะหมดหนี้กรรมซึ่งกันและกัน
            ดังนั้น พุทธศาสนาจึงสอน ให้มีการทำบุญกุศลเพื่อชดใช้ให้หมดไปทีละเล็กละน้อย จึงจะนับว่าเป็นผู้ที่อยู่ในพุทธศาสนาที่ถูกต้อง  ทั้งนี้ก็เพราะเหล่า เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายเป็นต้นเหตุให้มนุษย์มีความทุกข์กาย และทุกข์ใจ อยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในครอบครัว ในสัมมาอาชีพ สุขภาพร่างกาย หรือสภาพจิตใจ  และที่สำคัญอย่างยิ่งคือทำให้ เป็นอุปสรรคต่อการประพฤติปฏิบัติธรรม  ซึ่งล้วนแล้วมีต้นเหตุมาจากวิบากกรรม ที่เกิดจากการกระทำของตนเองต่อเหล่าเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่ผ่านมาในอดีตทั้งสิ้น
พระมหาโพธิสัตว์พระแม่กวนอิม เป็นผู้บัญญัติ “ศีลเจพรต” ในการไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกันไว้ตั้งแต่ก่อนพุทธกาล และอธิษฐานจิตอยู่คู่โลก เพื่อช่วยเหลือมนุษย์และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่ตกทุกข์ได้ยาก โดยการ ตั้งจิตอธิษฐานอย่างแรงกล้าตั้งแต่ครั้งก่อนพุทธกาล เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ทั้งหลายที่ยึดมั่นอยู่ในศีลธรรม ตลอดจนผู้ที่สามารถรำลึกถึงบาปที่ตนเองได้ทำไว้ เพื่อให้มนุษย์ทุกผู้ได้ขอพรต่อพระองค์
            พุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ต้องการจะช่วยมนุษย์ที่รู้สึกตัวว่าเคยประพฤติตนนอกลู่นอกทาง  จนมีแต่วิบากกรรมนำมาเกิดในชาติปัจจุบัน  และมีจิตใต้สำนึกในการหมั่นบำเพ็ญเพียรสร้างบุญกุศล และประพฤติตนอยู่ในศีลเจพรต อันจะเป็นการผ่อนปรนให้กรรมหนักนั้นเบาบางลง  และค่อยๆ ชดใช้กรรมทีละเล็กละน้อย
            หากท่านผู้อ่านมีจิตสำนึกถึงบาปบุญคุณโทษดังที่ได้กล่าวมาแล้ว หรือต้องการที่จะมีส่วนช่วยเหลือบรรพบุรุษหรือผู้มีพระคุณเพื่อการชดใช้หนี้กรรม โดยการขอพักกรรมต่อเหล่าท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ก็ควรที่จะตั้งจิตอธิษฐานขอพรต่อพระมหาโพธิสัตว์ และปฏิบัติตนอยู่บนหลักใหญ่ๆ คือ
๑.)   เป็นผู้ที่เชื่อในเรื่องของกรรมดีกรรมชั่วใน “กฎแห่งกรรม” ตามคำสอนของพระพุทธองค์
๒.)  เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในเรื่องของ “ศีลเจพรต” ในด้านการไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การละเว้นจากการบริโภคเนื้อโคและกระบือ
            ๓.)  เป็นผู้ที่ประพฤติตนอยู่ใน พรหมวิหาร ๔  และยึดมั่นในสัจจะของตนที่จะละจากความชั่วสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ตนยังมีความบกพร่องอยู่

การเตรียมเครื่องสักการะบูชาของพระธรรมชาติ
๑.)   ส้ม ๔ ผล
๒.)  ดอกบัว ๙ ดอก
๓.)  ธูป ๙ ดอก
๔.)  เทียนขาว ๑ คู่
๕.)  กิมฮวย อั้งติ๊ว ๑ ชุด  ( ใช้แทนบายศรีของไทย - มีจำหน่ายตามร้านสังฆภัณฑ์ )
๖.)  หมากพลู - จันอับ  ๑ ชุด
๗.) น้ำเปล่า - น้ำชา อย่างละ  ๒ ถ้วย
หมายเหตุ  รายการที่ ๖ และ ๗ นั้น อาจยกเว้นได้ตามความเหมาะสม

การตั้งจิตอธิษฐานขอพักกรรม
๑.)   กราบนมัสการ ๓ ครั้ง
๒.)  กล่าวคำภาวนาบทสวด
                   “พระอิติสุขะโต  พระอะระหังพุทโธ  พระนะโมพุทธายะ  พระปฐวีคงคา     นะมา มิหัง   ( ๒ จบ )
                   พระอิติสุขะโต  พระอะระหังพุทโธ  พระนะโมพุทธายะ  พระปฐวีคงคา     ขะมา มิหัง   ( ๑ จบ )”
๓.) ระลึกถึงบาปกรรมที่ตนเองได้เคยกระทำผิดพลาดไว้ในอดีต   และให้มีจิตสำนึกถึงผลของการกระทำนั้นๆ เพื่อการขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวร ( หากเป็นการกระทำให้ญาติสนิทหรือผู้มีพระคุณ ก็ให้ตั้งจิตบอกกล่าวว่ามาขอพักกรรมแทน.....เช่นบิดา...มารดา....ผู้มีความเกี่ยวข้อง....หรือผู้มีพระคุณ )
๔.)  ตั้งจิตอธิษฐานกล่าวถวายเครื่องสักการะบูชา
                   “ข้าพุทธเจ้าขอน้อมนำเครื่องสักการะบูชาที่ได้จัดเตรียมทั้งหมดถวายต่อเสด็จพ่อฟ้า เสด็จแม่ดิน ทั้ง ๒ พระองค์ ขอได้โปรดเมตตารับการถวายจากข้าพุทธเจ้าด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
๕.) ตั้งจิตอธิฐานขอพักกรรมต่อเสด็จพ่อฟ้าเสด็จแม่ดิน โดยให้สัจจะว่าจะละจากการกระทำในสิ่งที่ไม่ดีอย่างใดอย่างหนึ่งที่ตนเองยังมีความบกพร่อง หรือยังผิดพลาดอยู่ เช่น.
·       การรักษาศีล ๕ ของพระพุทธองค์
·       หรือ การรักษาศีลเจพรตของพระมหาโพธิสัตว์
·       หรือ สิ่งอื่นใดที่เป็นการลดละการกระทำไม่ดีต่างๆ ของตนเอง
( ตัวอย่างการกล่าวอธิษฐาน )
            “ข้าพุทธเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานเพื่อการขอพักกรรมของข้าพเจ้า ( หรือบิดา มารดา ญาติสนิท ผู้มีพระคุณ หรือผู้ที่อยู่ในครอบครัว ) ในเรื่องของ........ ( ตามความทุกข์ยากที่เป็นอยู่ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพร่างกายหรือจิตใจ )
            โดยขอให้สัจจะว่าจะละจากการกระทำที่ไม่ดีในด้าน..........( หรือให้สัจจะว่าจะปฏิบัติตนที่ไม่เป็นการเบียดเบียนตนเองหรือผู้อื่น เช่น การรักษาศีล ๕ ของพระพุทธองค์ หรือการรักษาศีลเจพรตของพระมหาโพธิสัตว์ โดยการละจากการบริโภคเนื้อโค กระบือ หรือจะกินเจเป็นเวลาอย่างน้อย ๓ วันติดต่อเป็นต้น  หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นการลดละการ กระทำที่ไม่ดีต่างๆ ของตนเอง )
            ซึ่งทั้งนี้ จะขอตั้งจิตอุทิศบุญกุศลที่ก่อเกิดจากการกระทำตามสัจจะที่ให้ไว้นี้ ต่อเหล่าท่านเจ้ากรรมนายเวรของตนเอง หรือบิดา มารดา หรือผู้มีพระคุณ   เพื่อเป็นการผ่อนใช้หนี้กรรมที่มีต่อกันให้หมดสิ้นกันไป
            ขอเสด็จพ่อฟ้าเสด็จแม่ดินได้โปรดเมตตาและประทานพระพรพระบารมีแก่ข้าพุทธเจ้าตามที่ทรงเห็นสมควรด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า”
๖)  กราบนมัสการ ๓ ครั้ง

วิธีการตั้งจิตอธิษฐานขอต่อพระมหาโพธิสัตว์เพื่อการผ่อนใช้กรรมหรือขอพักกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร (กระทำต่อเนื่องจากการกล่าวต่อเสด็จพ่อฟ้า เสด็จแม่ดิน)
การเตรียมเครื่องสักการะบูชาอันประกอบด้วย
๑.)   ผลไม้     ๓ , ๕ , ๗  หรือ  ๙ อย่าง
๒.)  ดอกบัว   ๙ ดอก
๓.)  น้ำเปล่า-น้ำชา  อย่างละ   ๑ ถ้วย
๔.)  ธูป  ๙ ดอก
๕.)  เทียนขาว ๑ คู่ 
การตั้งจิตอธิษฐานขอพักกรรม
๑.)   กราบบูชาพระรัตนตรัย ๓ ครั้ง
๒.) ระลึกถึงบาปกรรมที่ตนเองได้เคยกระทำผิดพลาดไว้ในอดีตที่ผ่านมา  และให้มีจิตสำนึกถึงผลกรรมของการกระทำนั้นๆ   เพื่อการขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวร
๓.)  ภาวนาบทสวดดังต่อไปนี้
                   “พระอิติสุคะโต  พระอะระหังพุทโธ  พระนะโมพุทธายะ  พระปฐวีคงคา    นะมา มิหัง”  ( ๒ จบ )
                   “พระอิติสุคะโต  พระอะระหังพุทโธ  พระนะโมพุทธายะ  พระปฐวีคงคา    ขะมา มิหัง”   ( ๑ จบ )
๔.) ตั้งจิตอธิษฐานเพื่อการให้สัจจะต่อ “ตนเอง” และต่อ “พระมหาโพธิสัตว์” เพื่อการละจากความชั่ว หรือการกระทำในสิ่งไม่ดีที่ตนเองยังมีความบกพร่อง หรือยังมีการกระทำที่ผิดพลาดอยู่  เช่น
    ก. ประพฤติตนให้อยู่ใน “ศีล ๕” ของพระพุทธองค์ ตามที่สามารถปฏิบัติได้
    ข. เริ่มต้นปฏิบัติตนอยู่ใน “ศีลเจ” ของพระมหาโพธิสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการละจากการบริโภคเนื้อโค กระบือ
    ค. รักษา พรหมวิหาร ๔  โดยละจากการกระทำสิ่งใดๆ ที่เป็นการเบียดเบียนตนเอง หรือเบียดเบียนผู้อื่น เป็นต้น
๕.)  ตั้งจิตอธิษฐานขอพรต่อพระมหาโพธิสัตว์ เพื่อขอพระเมตตาบารมีในการเป็นสักขีพยาน ว่าจะค่อยๆ ผ่อนปรนในการใช้หนี้กรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร  และขอพระพรเพิ่มเติม พื่ออุทิศอานิสงส์บุญกุศลที่เกิดจากการกระทำที่ตนเองได้ให้สัจจะไว้แล้วในการชดใช้หนี้กรรมต่อเหล่าเจ้ากรรมนายเวร เพื่ออโหสิกรรมซึ่งกันและกัน
( ตัวอย่างขั้นตอนการกล่าวต่อพระมหาโพธิสัตว์โดยละเอียด )
๑.)      กราบ ๓ ครั้ง เพื่อบูชาคุณแห่งพระรัตนตรัย  อันประกอบด้วยพระพุทธ   พระธรรม   พระอริยะสงฆ์ 
๒.)     กล่าวคำภาวนา  
                      “พระอิติสุขะโต  พระอะระหังพุทโธ  พระนะโมพุทธายะ  พระปฐวีคงคา  นะมามิหัง
                        พระอิติสุขะโต  พระอะระหังพุทโธ  พระนะโมพุทธายะ  พระปฐวีคงคา  นะมามิหัง
                        พระอิติสุขะโต  พระอะระหังพุทโธ  พระนะโมพุทธายะ  พระปฐวีคงคา  ขะมามิหัง
            ข้าพุทธเจ้า ขอน้อม กาย วาจา ใจ ระลึกบูชา คุณแห่งพระรัตนตรัย อันประกอบด้วย พระพุทธ  พระธรรม  พระอริยะสงฆ์ และขอน้อมถวายนมัสการต่อพระมหาโพธิสัตว์
            ข้าพุทธเจ้าได้มีความพร้อมใน กาย วาจา ใจ จัดเตรียมเครื่องสักการะบูชาและ ผลไม้ตลอดจนน้ำเปล่าและน้ำชา เพื่อตั้งจิตถวายต่อพระมหาโพธิสัตว์เป็น พุทธบูชา  ธรรมะบูชา  อริยะสงฆ์เจ้าบูชา  จึงทูลขอพระเมตตาได้โปรดพิจารณารับในการทูลเกล้าถวายจากข้าพุทธเจ้าด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.”
๓.)     กล่าวต่อไปว่า
          “พระอิติสุขะโต   พระอะระหังพุทโธ   พระนะโมพุทธายะ  พระปฐวีคงคา  ขะมามิหัง
                      ข้าพุทธเจ้า ระลึกถึงพระธรรมคำสอนในกฎแห่งกรรม และการรู้ผิดในการกระทำ ที่ก่อเกิดเป็นหนี้กรรมกันต่อท่านเจ้ากรรมนายเวร  ในวันนี้ข้าพุทธเจ้าได้สำนึกถึงการผิดพลาด และขอตั้งจิตในการให้สัจจะเพื่อไม่กระทำสิ่งผิดพลาด และประพฤติปฏิบัติตามแนวพระธรรมคำสอนเป็นข้อๆ ดังนี้
ก.) ……  ( เช่น จะไม่เบียดเบียนเนื้อสัตว์ใหญ่  โค กระบือ ตลอดไป )
ข.) …… ( เช่น ไม่เบียดเบียนเนื้อสัตว์ในวันพระจีน  ตลอดระยะเวลา ๓ เดือนในช่วงเข้าพรรษาหรืออย่างน้อย ๓ วันติดต่อกัน )
ค.) …… ( เช่น รักษาศีลพรหมวิหารธรรม )  เป็นต้น.
            ข้าพุทธเจ้าจึงทูลขอพระเมตตาจากพระมหาโพธิสัตว์ ได้โปรดเป็นสักขีพยาน และทูลขอพระเมตตาในพระพรพระบารมีเสริมเพิ่มเติมต่อตัวข้าพุทธเจ้า และท่านเจ้ากรรมนายเวร  ให้เป็นความสำเร็จสมบูรณ์ตามสัจจะที่ให้ไว้ตามที่พระองค์จะทรงเมตตาเห็นสมควรด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.”
๔.)              กล่าว
           “พระอิติสุขะโต   พระอะระหังพุทโธ   พระนะโมพุทธายะ  พระปฐวีคงคา  ขะมามิหัง
ข้าพุทธเจ้าทูลขอขะมาในสิ่งผิดพลาด หรือขาดตกบกพร่องโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่ว่าด้วย กาย วาจา ใจ เพื่อมิให้ก่อเกิดเป็นวิบากกรรมสืบต่อไป    ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.”
๕.)       กราบนมัสการ    ครั้ง

สตาร์ อาร์เกต เครื่องรางแห่งจักรวาล

Stargate
     ท่าน ผู้อ่านที่ติดตามผลงานของอุณมิลิตมาตั้งแต่ต้นๆ ก็คงจำ เครื่องราง ซึ่งจัดสร้างขึ้นด้วยรูปลักษณ์ของศาสตร์ต่างประเทศ   จะเป็นของขลังก็ไม่ใช่ เครื่องประดับก็ไม่เชิง   รู้จักกันว่า “stargate”ชื่อไทยคือ ดวงตราปาฏิหาริย์ ซึ่งคนไม่นิยมเรียกเท่าไร? รู้จักแต่ชื่อฝรั่ง    เครื่องรางนี้ ทำให้วงการมายิกไทยตื่นตัวและเริ่มมีการกล่าวขานถึงเครื่องรางต่างประเทศ กันมากขึ้น  มีเซียนพระ ระดับ ประเทศ  จัดสร้างขึ้นเผยแผ่บ้าง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบรับ  เนื่องจากไม่สามารถ กล่าวถึงองค์ความรู้ที่ประจุอยู่ ภายในได้มากนัก      “stargate”  แบบที่อุณมิลิต  เผยแผ่ เป็นที่รู้จักมากกว่า และนักนิยมพลัง  ก็ทึ่งกับพลังอำนาจพิเศษของเครื่องรางชนิดนี้ ถึงกับมีเกจิ แดนอีสาน นำไปใช้ประกอบเครื่องรางของตน    อำนาจของ“stargate”ถูกนำเสนอในลักษณะแตกต่างจากเครื่องรางของขลังที่ชาวสยาม เคยยึดถือมา  เพราะไม่เคยบอกว่า  ยิงไม่ออก ฟันไม่เข้า หรือเป็นเสน่ห์มหานิยม   แต่“stargate”เป็นเครื่องรางที่พิเศษ แตกต่างจากที่เคยมีการนำเสนอมา เพราะ  อำนาจที่แท้จริงของมัน คือ ทำให้มนุษย์รู้จัก พลังอำนาจที่แฝงอยู่ภายในตัวตนของมนุษย์เอง  และพลังอำนาจนี้ยิ่งใหญ่เกินกว่าเครื่องรางของขลังใดใด  เพราะมันคือพลังจิตส่วนที่แฝงอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม
      “stargate”  ทำให้ความปรารถนาของทุกผู้ทุกนามที่เข้าถึงมันเป็นจริงได้  มันคือพลังเหนือพลังซึ่ง ได้กล่าวมาก่อนที่จะมีการยอมรับ ในเรื่อง   “กฎของแรงดึง”   หรือที่รู้จักกันว่า  Law of Attraction กฎแห่งแรงดึงดูด   เป็นหนังสือชื่อเดอะซีเครท     ซึ่งเป็นหนังสือมีชื่อมากที่สุดเท่าที่เคยขายในเมืองไทยยังไม่นับว่าโด่งดัง ทั่วโลก     “stargate”  ในรูปแบบวัตถุที่นำเสนอ ในทำนองเดียวกัน ได้สร้างปรากฏการณ์ อย่างเหลือเชื่อ  มีผู้มีประสบการณ์มากราย  ที่พบเหตุการณ์ที่ไม่น่าจะเป็นได้  แต่ก็เกิดขึ้น  จนกระทั่ง เมื่อถึงเวลา พอสมควร  ก็ระงับการเผยแผ่  “stargate”  ในประเทศ แต่ให้คนฟากฝั่งตะวันตกได้รับรู้บ้าง   ซึ่งก็มีผู้มาขอแลกเปลี่ยนด้วยอัตราสูงแต่ ไม่มีการเผยแผ่อีก ทำให้“stargate”  แบบแรกที่เผยแผ่ กลายเป็นตำนานที่มีผู้กล่าวขานถึงมากที่สุดเรื่องหนึ่ง   มีผู้สอบถามมาเสมอว่า เมื่อไรจะสร้างขึ้นอีก แต่จนแล้วจนรอด ก็ไม่มีการตอบรับจากผู้สร้างจนกระทั่งครบ ๑๐ปีจึงสร้างขึ้นอีกครั้งในรูปแบบโลหะ  และมี รูปลักษณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม   อานุภาพ ก็คง ต่างจากเดิม ซึ่ง ก็เป็นการพัฒนาจากองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิม     และก่อนหน้าที่จะมี“stargate” ครั้งนี้   ก็มีการสร้าง  เครื่องรางแบบไทย ที่มีคุณลักษณะคล้าย“stargate”  ยุคแรก  ก็คือ ตรีรัตนศรีวัตสะ  ซึ่งได้นำเรื่องราวขององค์ความรู้ ศาสตร์ต่างๆที่นำมาประกอบในการออกแบบเครื่องรางชนิดนี้  กว่าขวบปี   ปรากฏความอัศจรรย์มากมาย  จนหมดลง  ซึ่งทางกองบก.ก็ดำริว่าเมื่อครบรอบสิบปีก็ควรมีอะไรที่เป็นเชิงสัญลักษณ์   จึงสร้าง“stargate”  รุ่น๒ขึ้นมา  โดยใช้องค์ความรู้ ที่พัฒนามาจากศาสตร์ที่ใช้สร้าง “stargate”  รุ่นแรกที่เป็นเนื้อผง  แต่ทรงเอกลักษณ์  ดวงตาศักดิ์สิทธิ์  จักรราศี    กับสัญลักษณ์ แห่งพลังจักรวาล คือ รูปดาวหกแฉกซ้อนกัน๒รูป เป็น๑๒แฉก  หมายถึงพลังอำนาจสูงสุด
         “stargate”  แยกศัพท์ว่า  “star”  หมายถึงดวงดาว  และ    “gate”  หมายถึงประตู หรือช่องทางรวมความว่า ประตูสู่ดวงดาว ซึ่งมัน เป็นการบอกกล่าวให้รู้ว่า เป็นช่องทางที่จะเรียนรู้ จักรวาลได้จาก สิ่งนี้    เขียนถึงตรงนี้ย้ำว่า  วัตถุก็คือวัตถุ  ธาตุก็คือธาตุไม่มีอะไรมากไปกว่านี้  รูปลักษณ์ภายนอกของ         “stargate”  ก็สร้างจากวัสดุที่ไม่ได้หายากอะไรบนโลกนี้  แต่เนื้อหาหรือองค์ความรู้ที่แฝงเร้นภายในนี่สิ ที่ทำให้ไม่ธรรมดา
              “stargate”  หลายคนอาจคิดถึงภาพยนตร์ ฝรั่งที่มีเนื้อเรื่อง ทำนองทะลุมิติ     ซึ่ง ในนิยาม เช่นนี้  ก็ไม่แตกต่างอะไรแต่  สิ่งที่นำเสนอในบทความนี้ ขอให้จำไว้ว่าไม่ใช่วัตถุ  แต่เป็นองค์ความรู้ที่สร้างวัตถุนี้ขึ้น  แล้วทำไมเราถึงหยิบยื่นให้ กับ   ท่านที่สมัครเป็นสมาชิกรายปี โดยยืนยันเสมอ ว่า วัตถุมงคลที่แจกให้เป็นน้ำใจ  ไม่ใช่ส่วนควบของการสมัครสมาชิก    และยังยืนยันว่า ของที่มอบให้ก็สร้างขึ้นอย่างพิถีพิถัน  ดีเด่นไม่แพ้วัตถุมงคลที่ที่ท่านเช่าบูชา   ซึ่งในแต่ละปีก็จะมีวัตถุมงคลแจกฟรีๆหลายครั้ง   ทั้งแจกตามวาระ    แจกเนื่องกิจกรรมการกุศลซึ่งท่านที่สนใจศรัทธา มารับได้ฟรี  มีที่นี่ที่เดียวที่กล้าทำ 
                      “stargate”  เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นเพื่อสื่อถึงอัตลักษณ์ของ วัตถุที่สร้างขึ้น   เดิม คุณปาปิรุส ใช้คำว่าสื่อปาฏิหาริย์ ซึ่งเข้าท่าดี   เพราะเครื่องรางวัตถุมงคลใดใดก็ เป็นแค่  “สื่อ” อย่างหนึ่งเท่านั้น ปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งที่เกิดกับแต่ละบุคคลด้วย  อำนาจของบุคคลนั้นเองเป็นตัวชักนำ  เสมอ   ในศาสตร์ทางบ้านเรา  เรียกตัวชักนำว่า “ศรัทธา” เป็นคำอธิบายที่   สั้น  กะทัดรัด   ได้ใจความดี
         เครื่องรางของขลังตามปกติ  มีศรัทธาเป็นตัวเชื่อมโยง  เพราะถ้าไม่ศรัทธา ก็ไม่รู้จะขวนขวายหามาทำไม  แต่ศรัทธา บางครั้งหากมามากเกินไปก็จะปิดบัง  ความรู้ที่สำคัญคือ  วัตถุเครื่องรางนั้น ทำให้เกิดอะไรขึ้นได้บ้าง   การสร้างความหวังกับตัวเครื่องรางของขลัง  ที่ไม่ตรงกับความจริงเพราะไม่รู้ว่า มันคืออะไร   ก็คือความโง่งมงาย  แม้พลังงานทางมายิกที่ประจุในของขลังนั้นอาจ จะทำให้เกิดสิ่งแปลกๆได้บ้าง  แต่รู้ไหม? มันไม่เกิดประโยชน์ทางจิตวิญญาณสักเท่าไร เพราะยิ่งศรัทธาก็ ยิ่งยึดมั่น  ยิ่งพึ่งพา   จนแล้วจนรอดคนเหล่านั้น พึ่งตัวเองไม่ได้สักที   บางคน มีเครื่องรางชิ้นเดียวไม่พอ ต้องมีอีกเรื่อยๆท้ายสุด   ก็กลายเป็นตัวประหลาด บ้าหอบฟางเพราะไปไหนมาไหน มีเครื่องรางของขลัง เต็มคอ เต็มพุงไปหมด   จริงอยู่ว่ามันเป็นเรื่องของ  ความเชื่อ และความชอบส่วนบุคคล   แต่ คอลัมน์นี้ อยากจะให้วางความคิดเหล่านั้นลงสักครู่    
               ก่อนที่ จะกล่าวถึง “stargate”  ก็ขอปูพื้นความเข้าใจถึงอำนาจแฝงในตัวมนุษย์ ในรูปแบบ ที่เรียกว่า “พลังงานความคิดเหนี่ยวนำ”        The Secret เป็นหนังสือที่โด่งดังมากในช่วงปี๒๕๕๐ หลังจากมีหนังสือ The Secret ก็มีหนังสือเล่มอื่น ๆ ที่ตามกระแสออกมามากมายทั้งของไทยและต่างประเทศ จึงเกิดคำถามขึ้นภายในใจลึก ๆจริง ๆ แล้ว The Secret มันคืออะไรThe Secret เป็นการสื่อสารถึงวิธีการใช้พลังงานจิตใต้สำนึกด้านบวกในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า “Law of Attraction” หรือ “กฎแห่งแรงดึงดูด” มีหลักการแบบง่าย ๆ ก็คือ   ความคิดเราเปรียบเสมือนแม่เหล็ก และความคิดมีคลื่นความถี่ เวลาที่เราคิดอะไรสักอย่างหนึ่ง คลื่นความคิดจะถูกส่งกระจายออกไป และดึงดูดแถบคลื่นความถี่ระดับเดียวกัน กลับมาหาต้นกำเนิด ซึ่งก็คือตัวเรา  หรือพูดง่าย ๆ ก็คือ หากเราคิดแต่สิ่งไม่ดี สิ่งต่าง ๆ ที่ไม่ดีทั้งหลายแหล่ก็จะถูกดึงดูดเข้ามาหาตัวเรา แต่ตรงกันข้ามหากเราคิดแต่สิ่งดี ๆ สิ่งดี ๆ ทั้งหมดรอบตัวก็จะถูกดึงดูดเข้ามาหาตัวเรา …ตัวเราเปรียบเสมือนเสาส่งสัญญาณที่เป็นมนุษย์ซึ่งกระจายคลื่นความคิดของเรา ออกไป ดังนั้นถ้าหากเราต้องการเปลี่ยนแปลงอะไรต่าง ๆ ในชีวิต เราต้องเปลี่ยนคลื่นความถี่นี้เสียก่อน โดยเริ่มจากการเปลี่ยนความคิดของตัวเราเอง
              แนวคิดของ“Law of Attraction” มาจากรากฐานความเชื่อทางมายิกระดับสูง ที่ว่า   สรรพสิ่งในโลกและจักรวาลทั้งหลายทั้งปวงย่อมเชื่อมโยงกันไม่ทางใดก็ทาง หนึ่ง    และ สิ่งที่เหมือนกันย่อมเข้าหากัน     ดังนั้นเมื่อเราคิดอย่างจริงจังสม่ำเสมอว่า รวยมันจึงรวย   หากมีคนแย้งว่า  ผมก็คิดว่ารวยไม่เห็นรวยเลย  ก็ถามย้อนหน่อยว่าคุณคิดมากแค่ไหน คุณคิดแค่ ครั้งสองครั้ง แต่ไปคิดเรื่องจน ไม่มีโน่นไม่มีนี่ ไปกว่าสิบครั้ง  มันก็ต้อง โอนเอียงไป ข้างที่คุณคิดมากกว่านะซี    โดยปกติในแต่ละวัน คนคิดห่วงโน่น ห่วงนี่ มากมายกว่าการที่คิดว่าตัวเองจะทำอย่างไรจึงจะสำเร็จ   ทำอย่างไรจึงจะรวย   หากเรา มีพลังงานความคิดหนาแน่นพอที่จะ เปลี่ยนเป็นการกระทำ  ความสำเร็จก็มีแน่นอน
              ระหว่างตัวตนปกติ  จะเร่งเร้าพัฒนา ไปสู่ตัวตนใหม่ที่ดีกว่า ซึ่งในทางพุทธศาสนาเรียกว่า “เนกขัม”  ซึ่งดันไปแปลว่าการบวช  ไม่ถูกกับนิยามศัพท์ และสิ่งที่ศาสนาพุทธพยายามสอน   ความคิดนำพาตนไปสู่สถานะที่ดีกว่าจะดึงดูด เหตุการณ์ต่างๆเข้ามาช้าบ้างเร็วบ้างขึ้นกับสถานะของแต่ละคน   และเรื่องที่ต้องการ 
           ระดับของพลังทางความคิด   ขึ้นกับระดับของพลังการรอบรู้ของคนนั้นด้วย ระหว่างที่ความคิด กำลังทำงานตามกฎแรงดึงดูด  ก็ต้องเข้าใจว่า เปรียบเสมือนการเดินทาง ไปสู่จุดหมายซึ่งอาจมีการขวางกัน  และเมื่อมีการขวางกันก็ทำให้ ล่าช้า หรือไปไม่ได้  จะไปได้ก็คือ ต้องมีช่องทางหรือประตู ที่ทำให้เรื่องราวต่างๆเกิดง่ายขึ้น สิ่งนั้นก็คือที่ไปที่มาของคำว่า    “stargate”  ในบทความนี้นั่นเอง         มนุษย์ถูกห่อหุ้มด้วยโลก   โลกถูก ห่อหุ้มด้วยจักรวาล  นับพันปีที่มนุษย์พยายามนำเอาพลังจากจักรวาลมาใช้  ที่ง่ายที่สุด  ก็คือแสงแดด   หรือแสงอาทิตย์ ซึ่งทำให้ พระอาทิตย์ กลายเป็นเทพเจ้าสูงสุด ในศาสนาโบราณ   และการบูชาพระอาทิตย์ ก็ยังมีพิธีกรรมสืบทอดกันมาถึงปัจจุบัน   อำนาจของ พระอาทิตย์คือ  ความร้อน  และ  แสงสว่าง   ซึ่งทำให้ทุกสิ่งในโลกเห็นกันรู้จักภาพลักษณ์ของกันและกัน   พระอาทิตย์จึงถูกขนานนามว่า  ดวงตาของโลก  อีกสมญาหนึ่ง    ดังนั้นสัญลักษณ์ของดวงอาทิตย์ จึงใช้รูปดวงตาศักดิ์สิทธิ์  ซึ่งพบเก่าแก่  หลายอารยธรรมที่รู้จักกันดี คือ อียิปต์  มีเทพเจ้า  เกี่ยวกับ พระอาทิตย์คือ  รา  และมีสัญลักษณ์ เป็นรูปดวงตา   ตามรูปแบบที่นำมาแสดงประกอบถือว่า เป็น  สัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์     และ ก็ศักดิ์สิทธิ์จริงๆแบบยันต์สำเร็จ  คือดีโดยตัวเองซึ่งจะกล่าวต่อไป    สัญลักษณ์ รูปดวงตานี้ ถูกนำมา ประกอบอยู่บนศูนย์กลาง ของ  “stargate”  ซึ่งทำตั้งแต่ รุ่นแรก  หลายๆคน คิดว่าเป็นศาสตร์ อิยิปต์   แต่มันลึกกว่า ครอบคลุมในหลายศาสตร์ เพียงแค่นำสัญลักษณ์มาใช้สื่อความหมาย  และสร้างอัตลักษณ์ตามต้องการจะสื่อถึง
                    ปริศนาพลังชีวิตทั้งหลายในโลก อยู่ที่แสงแดด  ซึ่ง ไม่ได้เป็นแสงที่ได้จากดวงอาทิตย์ ที่เราเห็นอยู่ เสียทั้งหมด      เพียงแต่แสงอาทิตย์ที่เราเห็นนั้นมีความเข้มสูงเพราะอยู่ใกล้กว่านั่น เอง  ใน ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ทำให้ เราทราบว่า ดวงอาทิตย์คือดาวฤกษ์ ดวงหนึ่งในระบบจักวาลและเอกภพ ที่ทับซ้อน  ซึ่งมีอีกเป็นล้านๆๆๆๆๆดวง   พลังของดวงอาทิตย์คือแสง   และทราบให้ลึกไปอีกว่าแสงที่ปรากฏในโลกเราก็ไม่ใช่จากดวงอาทิตย์ดวงนี้ดวง ดวงเดียว  คำว่าดวงอาทิตย์สำหรับจักรวาล  หมายถึงดาวฤกษ์ นั่นเอง  พลังแสงที่เราสัมผัสอยู่จึงอาจเป็นส่วนผสมของ ดวงอาทิตย์อันไกลโพ้นนอกระบบสุริยะโลกเรา  ซึ่งส่งพลังงานมาอย่างต่อเนื่องในรูปแสง   ลมสุริยะ กับพลังแสงลมสุริยะของพระอาทิตย์ในระบบสุริยะจักรวาลที่เราอยู่     สิ่งเหล่านี้ นักพลังจิต และนักมายิก เรียกว่า  “แสงทิพย์” (มีความหมายถึงพลังแสงในระดับละเอียดลุ่มลึก) ซึ่งปรากฏ ในขณะฝึกฝนทางจิต    พบแสงในตัวเอง(จิตเป็นสมาธิ จะเห็นความสว่าง  ศัพท์ทางพุทธศาสนาเรียกโอภาส)    และ  แสงจากดินแดนไกลโพ้น 
                     ความลับของทุกชีวิตทั้งมวล  และทุกศาสตร์มายิก ก็อยู่ที่แสงที่ว่านี่เอง  การฝึกพลังจิตเชื่อมต่อจักรวาลหรือพลังจักรวาล  ก็คือ การสัมผัสแสงที่ว่านี้  เพราะแสงเป็นคลื่นและเป็นตัวเก็บข้อมูล (สัญญา) แบบเดียวกับการอ่านรหัสบาร์โคด เวลาซื้อสินค้า    การเชื่อต่อกับแสง (ทิพย์)  จากแหล่ง ที่ใหญ่ก็จะได้รับพลังอำนาจมากขึ้นด้วยเชื่อว่า  ศูนย์กลางเอกภพ ต้นกำเนิด สรรพสิ่ง  ก็คือแสงเช่นกัน   นักฝึกจิตเรียกแสงนี้แตกต่างกันออกไป ตามคติ และความรู้ที่ตนมี   พลังแสงนี้ เชื่อมโยงพลังงาน ทั้งหลาย เข้าด้วยกัน และ  เราสามารถส่งคำอธิษฐานผ่านพลังแสงนี้ (หากฝึกฝนเข้าถึงระดับ) ทำให้กระบวนการที่เรียกว่า“Law of Attraction” หรือ “กฎแห่งแรงดึงดูด”    เกิดเร็วขึ้น   นั่นคือการ ผสานจิต(ความคิดของเรา) เข้ากับจิตของจักรวาลด้วยระบบแสง   (บางคนอธิบาย กระบวนการกฎของแรงดึงดูด ว่าเป็นพลังจิตใต้สำนึก   ทำงาน  ในทำนองเดียวกัน เราก็กล่าวได้ว่าเชื่อจิตใต้สำนึกเรากับจิตของระบบจักรวาล) อธิบาย  แบบนี้บางคนอาจจะอ่านแล้วเข้าใจยากสักหน่อย  ต้องบอกว่าเป็นวิทยาการ ที่ลึก  เพราะเป็นการศึกษารังสีจิต  และต้องเข้าใจโอภาสแบบต่างๆ  ทั้งภายในภายนอก   กรรมฐาน แบบธรรมดา ประเภทปิดหูปิดตาก็อาจจะมีความเห็นสวนทางกับความรู้นี้   ซึ่งต้องบอกว่า นักพลังจิตทั่วโลก  ที่ฝึกจิตแบบนิวเอจ จะรู้เรื่องนี้ เกือบทุกคนเป็นความรู้พื้นฐาน  หากมากล่าวเรื่องทำนองนี้กับคนไทยอาจจะงงๆ  ซึ่งอธิบายว่า พลังแสงอาทิตย์อย่างเดียวก็อาจเข้าใจไขว้เขว     ท่านผู้อ่านที่มีความรู้เกี่ยวกับโหราศาสตร์ระบบดวงดาวก็คงพอจะต่อยอดความ รู้ศาสตร์นี้ได้บ้าง  มีแนวคิดคล้ายกัน เพราะโหราศาสตร์ก็อาศัยการทำนายเมื่อดาวแปรแสง  ซึ่งตัวสำคัญ ก็คือ  แสงอาทิตย์    เพราะดาวพระเคราะห์ทั้งหลายจะมีกำลังก็ต้องเมื่อได้องศา แสงอาทิตย์เท่านั้น
                เราได้ยิน เกี่ยวกับไสยศาสตร์  หรือมายิกที่ใช้แสงอาทิตย์มาบ้าง   ง่ายที่สุด ก็คือ ฤกษ์ผานาที ที่เราใช้ในพิธีกรรมต่างๆนั้นเอง  เพราะผู้คำนวณ เมื่อได้เวลาก็ต้องรู้ว่าเวลา นั้น  พระอาทิตย์ สถิต แต่ขอบกลุ่มดาวราศีอะไร  ซึ่งเรียกกันว่า  ลัคนาของฤกษ์ นั่นเอง
                การที่นำดวงตา  ที่หมายถึงแสงแห่งจิตวิญญาณมาประทับกลาง  “stargate”  ก็ เพื่อเป็นเชิงสัญลักษณ์ให้ทราบว่าวัตถุชิ้นนี้เป็นสื่อเพื่อการรู้แจ้งของ จิตวิญญาณ    โดยการโดยไม่ต้องการให้ไปยึดติด กับรูปแบบ  ความเชื่อ  ศาสนา แต่ยึดจากตรรกะและประสบการณ์จริง

เลขที่ไม่ควรนำมาใช้


ตัวเลขที่ไม่แนะนำให้ใช้ อาทิเช่น

    11 เลขชอบเด่นชอบดัง พึ่งพาใครไม่ได้
    12 21 เลขสามีภรรยาทะเลาะกัน
    13 31 เลขขาลุย มีโอกาสผ่าตัดสูง
    17 71 เลขใจร้อน ถือตัวเองเป็นใหญ่
    18 81 เลขมีโอกาสถูกหักหลัง
    25 52 เลขผู้หญิงอุปถัมภ์ผู้ชาย
    27 72 เลขมีหนี้สินรุงรัง
    33 เลขใจร้อน วู่วาม ชอบปะทะแหลก
    34 43 เลขใช้ปากหาเรื่อง
    37 73 เลขมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุ , ผิดหวังในความรัก
    38 83 เลขเสน่ห์แรง มีโอกาสเป็นมือที่สาม
    48 84 เลขมีโอกาสถูกเบี้ยวสัญญา ทำคุณคนไม่ขึ้น
    58 85 เลขแก้ปัญหาให้คนรอบข้างไม่จบสิ้น
    57 75 เลขอยากได้อะไรต้องรอ
    67 76 เลขอุปสรรคทั้งการงาน และความรัก
    77 เลขทำงานหนัก เครียดจัด
    79 97 เลขเก็บตัว มีโอกาสขึ้นคาน
    00 เลขเก็บตัว มีโอกาสป่วยหนัก
    02 20 06 60 เลขมีรักซ้อน
    03 30 เลขเก็บกด ชอบจับผิด ตรวจสอบ มักจะเป็นโรคเครียด04 40 เลขเก็บความลับเก่ง เป็นคนมีความลับเยอะ
    08 80 เลขเงินรัอน.