มหายันต์ศรีจักรา ตอนที่ 2

ศรีจักรา
มหายันต์ปาฏิหาริย์แห่งโลก มนุษย์ เทพ และจักรวาล (ตอนที่ ๒)

    การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกาลเวลาของยุคต่างๆที่ซ้อนมิติอยู่ในจักรวาล ซึ่งโดยปกตินั้น จะแสดงสถานะยุคทางกาลเวลานั้นสี่สถาน เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นยุคสร้าง จนสิ้นสุด(มหากาลียุคคือปัจจุบันนั่นเอง) ซึ่งเป็นการดับยุคแล้วเกิดวัฏฏะยุคทางกาลเวลาใหม่ สิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏในการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะทั้งระบบที่โลก เป็นแกนในการสร้างความสัมพันธ์กับดาวเคราะห์อื่นๆนั้น ก็จะมีลักษณะการอย่างเช่นการเกิดจุดสุริยะฉายเป็นเสมือน ประตูสวรรค์สี่ครั้งตามที่กล่าวมานั้นก็ตาม ลักษณะดังกล่าวยังปรากฏให้เห็นเป็นฤดูในปีนั้นก็มีความแตกต่างตามสภาวะที่ปรากฏในธรรมชาติ ซึ่งบางคนอาจถกเถียงว่า บางส่วนอย่างพื้นที่ตรงใกล้เส้นศูนย์สูตร หรือบริเวณขั้วการหมุนของโลกนั้นจะมีฤดูกาลปรากฏให้เห็นไม่ถึงสี่ฤดูกาลก็ขอแก้ว่า ฤดูทั้งสี่นั้นยังมีอยู่แต่ช่วงที่ปรากฏในแต่ละพื้นที่นั้นเหมือนจุดเงา ที่บางบริเวณอาจเกิดการทาบซ้อนหรือมีระยะสั้นจึงไม่อาจสังเกตเห็น ความเป็นไปดังกล่าวย่อมแสดงให้ประจักษ์แจ้งถึงประตูแห่งจักรวาล ที่มีอยู่ถึงสี่ด้านและเป็นที่มาของเทพผู้พิทักษณ์ที่เรารู้จักในคติพุทธศาสนาว่า จตุโลกบาล ยังไงละหลานๆ ซึ่งกระบวนดาวฤกษ์ดาวเคราะห์ ทั้งหลายนี้จะมีแรงกระทำต่อกันอยู่ตลอดจึงรักษาสถานะที่เป็นในขณะนั้น ได้หากดาวใดหรือสิ่งใดมีการเปลี่ยนแปลงภายในที่รบกวนระบบใหญ่ก็จะเกิดการไม่สมดุล และดำรงอยู่ไม่ได้ ความรู้นี้จึงเกิดปรัชญาเรื่อง “กรรม” ของพราหมณ์ที่มีนัยใกล้เคียงกับที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ(กฏไอแซคนิวตันทั้งสามข้อ)คือ “หากกรรมเพียงนิดปรากฏก็กระเทือนทั่วจักรวาล” การกระทำของใครก็ตามจึงส่งผลต่อระบบจักรวาล ทั้งระบบต่างที่ผลปรากฏจะมากน้อยกว่ากันเท่านั้น หลักกรรมที่ว่าจึงเกิดจารีต “อหิงสา” คือการไม่เบียดเบียนเป็นการรักษาตัวเอง และระบบไว้เพราะเชื่อว่าหาก กรรมที่มนุษย์ร่วมกันก่อมากๆก็อาจมีผลกระทบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ต่างๆที่แปรปรวนไปเรื่องนี้ดูจะสอดคล้องกับหลักศาสนาใหญ่ทุกศาสนาเลยละ (ไม่รู้ว่า คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ จะเกี่ยวหรือไม่? แต่นักศาสนาหลายคนเชื่อว่าเป็นสัญญาณเตือนมนุษย์จากบางสิ่งบางอย่างว่าให้ปรับการกระทำของตนเสียใหม่) ขณะที่จักรวาลดำเนินธรรมชาติความเป็นไปที่เล่ามา โดยในระหว่างที่ยุคกาลเวลานี้ยังดำเนินไปนั้นจะมีพลังงานบางประการรักษาสมดุลของจักรวาลไว้คือ ก่อเกิด(พรหม) รักษาสถานะ(นารายณ์) ทำลายเพื่อสร้างสภาวะใหม่(ศิวะ) รวมเรียกว่า “พระเป็นเจ้า” นั่นเอง โดยอาศัยแบบจำลองเสาหลักของกาลเวลาที่เรียกว่า “ศรีไกรลาส” ซึ่งเป็นจุดที่กาลเวลาสงบนิ่งที่อดีต ปัจจุบันและอนาคตเป็นหนึ่งเดียวกันอาจกล่าวว่าลักษณะเช่นนี้เป็น การตกผลึกของวัฏฏะจักรการเวลาซึ่งได้กำหนดเหตุการณ์ดังกล่าวในลักษณะภาพรูปทรงเรขาคณิต ซึ่งในทางวัตถุนั้นเราไม่อาจเห็นได้ง่ายนัก แต่โดยหลักวิชาทางพราหมณ์ยุคก่อนได้เรียนรู้กลไกการเคลื่อนขยายอาณาเขตของจักรวาล ที่มีการสามารถเล็งหาจุดศูนย์กลางการเคลื่อนออกนั้น (ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ก็ยอมรับว่า จักรวาลขยายตัวออกทุกขณะ) ในทางวัตถุนั้นหากหลานๆลุงกุสอยากจะลองค้นคว้าเรื่องสถานที่ที่เป็นจุดยึดตรึงกาลเวลา ก็สามารถหาได้จากเข็มทิศที่ลองวางแนวเข็มทิศที่เป็นสนามแม่เหล็กในบ้านดู ก็จะพบว่าแต่ละพื้นที่มีเส้นแรงแม่เหล็กที่ไม่เป็นแนวเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้ก็เนื่องจากกลไกของวัตถุต่างๆในบ้านที่สะท้อนพลังงานแม่เหล็กโลกออกมาไม่เหมือนกัน ซ้ำปัจจุบันได้มีการค้นพบและใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าในชีวิตประจำวันมากมาย จนเกิดสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ามั่วไปหมด จุดยึดตรึงต่างๆที่สามารถอยู่ในระนาบเดียวกันได้ย่อมเกิดเส้นแรงลัพธ์ ซึ่งหากเราขีดเส้นแนวแกนขั้วแม่เหล็กจากจุดต่างๆได้มากพอก็จะเห็นแนวๆหนึ่ง ที่เป็นแกนหลักของแนวเล็กๆในสนามแม่เหล็กบริเวณนั้นเสมอ (ในหนึ่งตารางเมตรต้องทำแนวขั้วแม่เหล็กหรือแนวเข็มทิศอย่างน้อยหกสิบจุดในอัตราเฉลี่ยต่อพื้นที่ ที่ใกล้เคียงหรือก็คือแบ่งพื้นที่นั้นออกให้ได้อย่างน้อยหกสิบส่วนนั่นเอง) แนวแกนที่ว่าจะเป็นจุดยึดตรึงเวลาหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในบริเวณนั้น ซึ่งหากเราพบว่าวันใดแนวแกนที่ว่านั้นมีการเบี่ยงเบนเกินกว่าหนึ่งองศาครึ่ง ก็จะแสดงว่าสนามแม่เหล็กในโลกอาจมีการกระทบจากคลื่นพลังงานบางอย่าง และมีการบิดตัวเนื่องจากเกิดการประทุใต้โลกซึ่งนั่นก็คือการบอกเหตุของแผ่นดินไหวนั่นเอง) ความรู้นี้เท่าที่ลุงกุสค้นและคว้ามานั้นคงยังไม่อาจยืนยันตามหลักวิทยาศาสตร์ได้สักเท่า เพราะถามใครก็มักได้ความแบบไม่จบเรื่องซักกะที ที่ลุงกุส(เจ้าเก่า)ยกมาเล่าก็เพื่อให้ลองทดสอบและสร้างความเข้าใจตลอดจน พิสูจน์เรื่องสนามพลังงานในชั้นต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราโดยจะเข้าใจได้ในระดับที่สูงขึ้นได้เองว่า “ศรีจักรา” นั้นทำงานอย่างไร?


      เรื่องสนามแม่เหล็กที่อีตาปาปิลุสนำมาขยายความในคอลัมน์ศาสตร์ปาฏิหาริย์ข้างๆ ลุงกุสนี้ในสมัยก่อนที่ยังไม่พบแม่เหล็กและวิธีใช้ซึ่งจากประวัติที่มีพบว่า จีนพบก่อนชาติแรกไม่เห็นจะไปเกี่ยวกับชาวภารตะที่เป็นต้นเรื่องศรีจักราตรงไหน หากเราคิดคงแค่นี้ก็คงไม่มีเรื่องมาฝอยต่อแต่ลุงกุสนั้นอยู่ไม่สุขค้นไปค้นมาจนพบว่า ชาวอินเดียหรือภารตะโบราณนั้นยังรับอารยะธรรมจากแอตแลนติส และอาณาจักรไมโนอันที่รุ่งเรืองวิทยาการแบบวิทยาศาสตร์และฮอทสุดๆผ่านมาทางชาวกรีก ที่ไปมาหาสู่กันและขอเฉลยต่อเลยว่าที่เรียกว่า “ชมพูทวีป” ที่หมายเอาว่ามีสัญฐานเหมือนต้นหว้านั้นไม่ผิดหรอกเพราะเมื่อหลายหมื่นปี (อาจถึงแสนปี)ก่อนนั้น “อินเดียเป็นเกาะขนาดใหญ่” ที่เพิ่งเคลื่อนตัวมาบรรจบกับทวีปเอเชียเมื่อไม่นานมานี้เอง(แต่ก็คงหลายหมื่นปีแหละ) ใครอยากพิสูจน์ความรู้นี้ให้ไปที่ “กรมทรัพยากรธรณี” ที่เป็นหน่วยงานราชการอยู่ที่กรุงเทพฯแถวถนนพระราม ๖ ตรงข้ามโรงพยาบาลรามาธิบดี จุดแสดงพิพิธภัณฑ์หินแร่เขาจัดแสดงการเลื่อนตัวของแผ่นดินในยุคเวลาต่างๆเอาไว้ให้ดูอยากพิสูจน์ก็ไปดูเอาเอง (ไม่เสียค่าเข้าชม)เดี๋ยวจะหาว่าลุงกุส(เจ้าเก่า)ไม่บอก

     ที่นี้แกนที่เป็นศูนย์กลางพลังงานต่างๆบนโลกที่เหล่าดาวเคราะห์ใหญ่น้อย และดาวฤกษ์ร่วมกระทำที่ชาวภารตะเรียกว่า “เทพนพพระเคราะห์” นั้นละจะมีจุดศูนย์กลางแรงลัพธ์อยู่บนพื้นที่ต่างๆกระจายอยู่ทั่วโลก ที่เห็นๆก็ ปิรามิดในประเทศ อิยิปต์ไง ส่วนในภารตะหรือ อินตะระเดีย(อินเดีย)นั้น เขาค้นพบเขาลูกหนึ่งมีสีขาวอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยปัจจุบันจุดนี้อยู่แถบเนปาลตรงรอยต่อกับทิเบต มีพลังงานในระดับเข้มข้นมากและภูเขาลูกนี้ดูแปลกคือสีของภูเขานั้นออกขาวโพลน ทั้งที่พื้นดินด้านล่างๆลงมามีสีดำตามปกติก็เลยเรียกตามลักษณะว่า ไกรลาส ซึ่งแปลว่า เขาเผือก (ขาว)นั่นเอง อันว่าเขาไกรลาสนี้เองและที่เหล่าโยคีนักบวชต่างนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนา เลยจัดคอนโดเอ้ย!!!! วิมานสถิตให้มหาเทพองค์สำคัญคือ สดาศิวะ ท่านประทับอยู่ ในแต่ละปีจะมีโยคีผู้นับถือ สดาศิวะอย่างจริงจังจำนวนมากเสี่ยงตายต่อสู้กับความหนาวเหน็บจาริกเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปประทักษิณ (การแสดงการเคารพด้วยการเดินรอบสิ่งนั้นในทิศทางตามเข็มนาฬิกา)รอบเขาลูกนี้แล้วกล่าวปัญจมหามนต์ที่ว่า “โอมนมัสศิวา” ว่ากันว่ากว่าจะครบรอบหนึ่งต้องว่ามนต์ห้าพยางค์นี้เป็นพันๆหมื่นๆครั้ง และกลับมาด้วยของที่ระลึกนับถือแทนองค์สดาศิวะเป็นเพียงหินสีดำก้อนเล็กๆก้อนเดียว เรียกว่า “ศรีไกรลาสศิลา” ซึ่งนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก

     โดยที่หลักไกรลาสหรือเสาหลักกาลเวลานี้ จะเป็นเหมือนหลักการที่ใช้ในการเปิดมิติเร้นลับของจักรวาลได้ในทุกสิ่ง พบว่าวิชาพราหมณ์บางแขนงก็ยังมีการกล่าวถึงกระดูกสันหลังเป็นเสา พระสุเมรุหรือแกนไกรลาส และบางทีก็ยังพบว่า เรียกกลุ่มประสาทบางกลุ่มในสมองที่มีรูปทรงเหมือนปิรามิด(Pyramidal) ว่าไกรลาส