มหายันต์ปาฏิหาริย์แห่งโลก มนุษย์ เทพ และ
จักวาล (บทสรุป)
(ศรีจักราบทสรุปต่อจากฉบับที่แล้ว) ...........
การใช้ศรีจักราเพื่อสร้างความสมดุลในสถานที่
เพียงนำศรีจักราเล็กแบบติดตัวหรือจะเป็นแบบเฉพาะที่ใช้ตั้งก็ได้ซึ่งประการหลัง
จะส่งผลที่ชัดเจนกว่าแต่ไม่จำเป็นเท่าจิตของเราที่สามารถต่อจิตถึงศรีจักราในมิติทิพย์ได้มากเพียงใด
โดยนำศรีจักรามาตั้งในบริเวณที่คิดว่าเป็นย่านกลางของพื้นที่
อันนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ววาง
ศรีจักราให้สมมาตรกับแนวทิศเหนือใต้ออกตกโดยใช้แนวสุริยะวิถีเป็นแนวเทียบเคียงในกรณีนี้
บางคณะก็ดัดเเปลงอย่างแบบปิรามิดโดยใช้แนวเเกนสนามเเม่เหล็กของพื้นที่นั้นแต่ยากตรงที่ต้อง
ใช้เเม่เหล็กหาแนวต่างๆในห้องซึ่งอาจไม่ใช่เเนวเดียวกันเนื่องจากในห้องนั้นอาจมีคานเหล็ก
หรือคอนกรีตเสริมเหล็กที่ทำให้สนามแม่เหล็กภายในสถานที่นั้นเกิดการเบี่ยงเบนจากสนามแม่เหล็กโลก
ก็อย่างที่ซินแซฮวงจุ้ยของจีนใช้หล่อแก(เข็มทิศฮวงจุ้ย)
หาจุดมงคลของสถานที่ในห้องนั้นนั่นเเหละ อันนี้
แล้วแต่จะเลือกผลแตกต่างกันบ้างแต่ไม่ถือเป็นสาระสำคัญ
แก่นเเท้คือที่ต้องใช้จิตมนุษย์เป็นตัวเหนี่ยวนำพลังงานผ่านสื่อคือศรีจักรายันตรา
มีข้อห้ามอยู่อย่างคือเมื่อวางเเล้วห้ามถูกต้องสัมผัสอีกเสมือนเรา
กำหนดจุดนั้นเป็นแกนพลังงานพื้นที่ถ้ามีใครไปถูกต้องเคลื่อนย้ายก็เป็นอันว่าอาจแปรปรวนต้องตั้งใหม่
ความเข้มข้นของพลังนั้นอย่างที่บอกก็คือจะกระจายออกจากมุมต่างๆของศรีจักราเเบบอิออนพลังจิตที่
ปรับเปลี่ยนออร่าในสถานที่นั้นให้เป็นไปตามประสงค์ที่ต้องต่อจิตคือกำหนดถึงศรีจักราเขาบ่อยครั้งเท่าไร
ก็เท่ากับเปิดประตูให้ทิพยะอำนาจลงสู่สถานที่ซึ่งจะเปลี่ยนบรรยากาศในสถานที่นั้นให้มีพลังมากขึ้นเท่านั้น
ซึ่งจะเกื้อกูลต่อการสมาคมกับเทวะอำนาจที่มีภาวะละเอียด
ส่วนจะสื่อกับเทวะในทิพยรูปได้หรือไม่ได้นั้น
ขึ้นกับอายตนะของแต่ละบุคคลที่จะเปิดรับการสิ่อนั้นๆได้เเค่ไหนโดยพื้นที่บริเวณนั้นนับว่ามี
ส่วนสำคัญหากพลังงานเข้มข้นสูงก็สื่อได้ง่ายอย่างบริเวณที่เรียกว่า "ลับแล"
หรือ "บังบด"
นั่นไงที่มีคนพบเรื่องราวนอกเหตุผลต่างๆก็เนื่องจากบริเวณนั้นอาจมี
อะไรสักอย่างที่ทำให้มีพลังงานในพื้นที่สูง(อาจดำหรือขาวก็ได้)
ก็จะเกิดอำนาจลี้ลับในพื้นที่นั้นอย่างกับที่เกจิสยามนิยมทำเครื่องรางที่บูชาเพื่อสร้างภาวะที่ต้องการ
อย่างยันต์โชคลาภ ค้าขายแต่ไม่ได้โม้นะว่าศรีจักรานี่เหนือกว่า
ซึ่งศรีจักรานี้นับว่ามีลูกเล่นลูกชนที่ครบด้านและเป็นไปแบบอัตโนมัติ
คือหากกระเเสพลังรอบนอกแปรเปลี่ยนศรีจักรานี่จะปรับให้เสร็จศัพท์พลังงานจึงไม่ลดทอน
การใช้ศรีจักราเพื่อเสริมพลังกับแท่นที่บูชา
ก็เพียงแต่วางศรีจักรา
ในทิศทางที่หันสามเหลี่ยมด้านบนสุดมาทางตัวเราก็จะสร้างอำนาจในเเท่นบูชา
ขึ้นอย่างมากท่านที่เห็นออร่าจะสามารถสังเกตุได้ถ้าวางศรีจักราในบริเวณหิ้งพระ
(เทพ)
ประมาณหนึ่งสัปดาห์ลองดูออร่าที่หิ้งอีกทีจะเห็นเปลี่ยนแปลงไปมากเพราะบริเวณนั้นจะสื่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ดีขึ้นนั่นเอง
(ถ้าเราบูชาพระพุทธจะเห็นออร่าสีฟ้าชัด ถ้าเป็นเทพชั้นสูงสีทอง
ถ้ารองลงมาก็เป็นภาวะตามรัศมีกายเทพองค์นั้นๆ)
การใช้ศรีจักราติดตัว
ก็เพียงแขวนให้อยู่ระดับจักระที่สี่คือระดับหัวใจคือ สูงจากกระบังลมประมาณ
๒-๓ นิ้ว (sternum)แต่ถ้าจะใช้ขยายจักระบริเวณใด
ให้วางบนจักระนั้นอย่างต้องการขยายจักระ ที่หกเพื่อเพิ่มสมรรถนะตาที่สาม
คือความหยั่งรู้หรือปัญญาญาณที่ไม่ใช่เรื่องตาทิพย์เพียงอย่างเดียว
ก็นอนหงายทำตัวสบายๆวางจิตใจให้สบายผ่อนคลายหายใจลึกๆสัก๑๐ครั้งวางศรีจักราขนาดติดตัว
(อย่าใช้ขนาดตั้งโต๊ะวางนะจะเพราะเดี๋ยวหัวจะยุบมันหนักมาก)
ให้จุดพินทุอยู่เหนือระหว่างกลางคิ้วประมาณ ๑-๒ เซนติเมตร
หลับตานอก(ปิดเปลือกตา)
แล้วเหลือกตาในคือลูกตาเพ่งมองตรงจุดพินทุที่คะเนตามความรู้สึกว่าศรีจักราอยู่
จินตภาพให้เห็นจุดเเสงสีฟ้าอมม่วงลักษณะสว่างใสเป็นประกาย
แล้วกล่าวมนตราอะไรก็ได้ที่คุณนับถือถ้ามีบทเฉพาะศรีจักราว่า "โอม ฮะรี ชะรีง
นะมะฮา" ว่ายาวๆหายใจลึก ไปเรื่อยๆจะรู้สึกเหมือนเสียวตรงหน้าผาก
หรือตึงตรงหน้าผากรักษาอาการนั้นไว้ ทำครั้งละไม่เกิน ๑๐ นาที
ห้ามเกินเด็ดขาดเพราะอาจจะปวดศรีษะเนื่องจากจักระขยายเร็วเกินไป
ให้หมั่นทำอย่างน้อยวันละ ๑ ครั้งห้ามเกินวันละ๓ครั้ง
ลองฝึกดูผลเป็นอย่างไรยังไม่บอก
ของจริงจะรู้ด้วยตัวเองผู้ได้ประสบการณ์อะไรแปลกๆเขียนจดหมายมาจะตอบรายบุคคล
การใช้ศรีจักราในการบำบัดอาการป่วยบางระดับ
ที่อาจเป็นการผิดปกติจากความไม่สมดุลของร่างกายที่มีสาเหตุจากร่างกายเองหรือได้รับพลังแฝง
วางศรีจักราบนฝ่ามือพินทุอยู่ตรงเส้นสุขภาพของลายมือคะเนกลางฝ่ามือ
ให้กำหนดถึงศรีจักรา
กล่าวมนตราจนรูสึกถึงพลังที่แผ่มาครอบคลุมจากนั้นนึกถึงเทวะที่ท่านศรัทธากล่าวบูชา(สรรเสริญคุณ)
แล้วขออำนาจให้บำบัดอาการดังกล่าว หายใจเข้าออกยาวๆแบบสบายๆ
ทำประมาณสิบห้านาทีกำหนดจิต
ที่ศรีจักราดึงความศักดิ์สิทธิ์เข้าตัวกล่าวมนตราความเร็วระดับที่รู้สึกว่ากำลังสบายไม่เร็วช้าไป
(ใช้ความรู้สึกเราเป็นตัวกำหนด) หากเจ็บปวดที่ไหนให้กำหนดนำ
สิทธิอำนาจความศักดิ์สิทธิ์นั้นไปละลายจุดนั้นจินตภาพให้ความป่วยไข้ให้หายไปหายใจออกยาวๆ
(ทำเสร็จแล้วควรอาบน้ำชำระไอโรคทันที)
สำหรับการบำบัดอาการเจ็บป่วยให้ผู้อื่นทำลักษณะเดียวกับทำให้ตัวเราเองโดย
ขอให้ศรีจักราคุ้มครองเราก่อนจินตภาพกำหนดรัศมีครอบคลุม
จากนั้นขอพลังจากศรีจักรา(วางที่มือซ้าย) ให้ผ่านตัวเรา ออกทางมือขวา
ห่างจากที่บำบัดประมาณ ๑ นิ้วหรือจะวางสัมผัสเบาๆก็ได้กำหนดพลัง
ให้เล็กเเหลมเป็นเส้นปลายเข็มสีขาว (ขั้นต้น)
ส่วนระดับกลางระดับสูงต้องแนะนำเฉพาะ
กำหนดพลังให้พุ่งไปที่จุดที่ต้องการบำบัดละลายความเจ็บป่วยนั้นถ้าเป็นพลังแฝงพวกวิญญาณร้าย
หรืออำนาจลี้ลับจะรู้สึกถึงการต่อต้านเช่นร้อนผ่าว เต้นตุ๊บตุ๊บ หรือ
เหมือนเข็มเเทงสวนเจ็บจึกจึก ให้หายใจออกยาวๆ
ช้าเร่งภาวนามนตราจะละลายพลังนั้น
โดยไม่ยากเคล็ดคือคิดว่ากำลังที่ส่งไปนั้นเเข็งเหมือนหัวเพชร
สามารถบดสลายพลังเหล่านั้นได้ทุกพลัง
ระหว่างทำต้องต่อจิตกับศรีจักราตลอด(ควรชำนาญในขั้นอื่นๆมาก่อน)
การบำบัดพลังแฝงควรขอพลังอำนาจจากเทพที่ชำนาญการปราบอำนาจชั่วร้ายอย่าง
นารายณ์ ศิวะ ท้าวเวสสุวัณ พระขันธกุมาร เจ้าแม่กาลี เป็นต้น
หลังการบำบัดทุกครั้งไม่ว่าตัวเองหรือทำให้ผู้อื่นต้องกล่าวขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้พลังอำนาจทุกครั้ง
จากนั้นให้อาบน้ำเพื่อชำระไอโรค(อาจเตรียมน้ำโดยใช้อำนาจศรีจักราก็ยิ่งดี
โบราณบ้านเราเรียกปรับธาตุ