
ความวาวของแก้วที่ให้แสงแพรวพราย มักเรียกลักษณะนั้นว่า "มิงๆ ม็องๆ"
แววระยิบระยับ(เรียกกันว่า "มาบเม็บ") ของแก้วโป่งข่ามนั้นเรา
มักจะอยู่ในลายชื่อ ประกายแก้ว หรือลายที่ชื่อ แก้วกระจาย
ลักษณะของวาวประกายแก้วอาจจะยกตัวอย่างง่าย ๆ โดยเอาน้ำแข็งทุบให้แตก
สะเก็ดน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ที่กระจายอยู่รอบ ๆ จะให้ประกายชนิดนี้
แม้ต้องแสงพระอาทิตย์จะทำให้แสงนั้นแหลมคม แต่ก็ดูได้เย็นตา
วาวสะท้อนชนิดนี้ย่อมเป็นเอกลักษณะและคุณสมบัติที่เป็นคุณค่าเฉพาะตัวของแก้วโป่งข่าม
ส่วนลักษณะวาวแสงไม่บาดตาอยู่ในพวกให้แสงวาวแววแพรวพราย
วาวแก้วกระจายและวาวประกายแก้วนี้ต่างกันโดยลักษณะที่จำแนกขึ้น
แก้วกระจายหมายถึงแก้วในทรงผลึกเล็ก ๆ ในลักษณะหินทรายแก้วกระจาย
|
ส่วนประกายแก้วอยู่ใน
ลักษณะสะเก็ดที่แตกออกจากกันโดยกำเนิดมีความแหลมคม
ประกายแก้วอาจเกิดขึ้นจากกรรมวิธีโดยนำเอาแก้วผ่านความร้อนสูงแล้วชุบน้ำที่เย็นจัด
รอยร้าวด้วยกรรมวิธีนี้จะให้แสงแบบประกายแก้วได้เหมือนกัน
แต่แตกต่างจากที่เกิดตามธรรมชาติที่มีความนุ่มนวล
เย็นตากว่าและที่สำคัญ ลักษณะต่าง ๆ
ที่เกิดในเนื้อแก้วตามธรรมชาติจะเป็นตัวบอกคุณวิเศษของแก้วดวงนั้นว่ามีอาณุภาพเช่นไร
ส่วนแก้วที่อัดหรือทำให้เกิดลักษณะขึ้นนั้นจะไม่มีอานุภาพดังกล่าว
เพราะไม่มีพลังงานของธรรมชาติเข้ามาเกี่ยวข้องเลย
ผู้ที่สนใจจะซื้อหาแก้วโป่งข่ามจึงควรศึกษาเรียนรู้จากผู้รู้จริง
เพื่อที่จะให้ได้แก้วที่ทรงคุณค่าจริง ๆ ไว้เป็นมงคลแก่ชีวิต
หากเลือกซื้อหรือได้แก้วจากแหล่งที่ไม่มีคุณธรรมคือใช้เศษแก้วหรือการอัดแก้วหรือทำให้เกิดรอยฐาน
เพื่อเพิ่มราคาแก้วก็อาจได้แก้วที่ไม่มีซึ่งอำนาจและคุณวิเศษ
ซ้ำร้ายอาจได้แก้วอุบาทว์
คือไม่เป็นมงคลและอาจจะนำโชคร้ายมาสู่ตัวเจ้าของก็ได้
ส่วนแก้ววิเศษที่เล่ามานั้นยืนยันว่าหากใครมีไว้เป็นของวาสนา
เพราะทรงคุณตามตำราไว้ หากไม่จริง
คนโบราณท่านคงไม่บันทึกไว้เพื่อสืบทอดความเชื่อกันมานับร้อยนับพันปีครับ
|
![]() |