ตัวเอย่าง 3-1559-822-766-91 ——-à 3+1+5+5+9+8+2+2+7+6+6+9+1 = 64 à 6+4 = 10 ->1+0=1 เลขประจำตัวของบัตรใบนี้คือเลข 1
ผลการทำนายตามเลขประจำตัว
ความรัก มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม ด้วยจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร เสียตรงอาจพูดมากไปหน่อย คือชอบแสดงออกแบบเรียกร้องความสนใจทั้งที่จริงๆแล้วอยู่เฉยๆความน่าสนใจ มากกว่าเป็นไหนๆ ชอบความรักแบบสดชื่น
การงาน เหมาะกับงานด้าน การติดต่อสื่อสาร สาระสนเทศน์ นักวางแผน ประชาสัมพันธ์ งานขาย งานด้านการติดต่อประสานงาน สื่อสารมวลชน นักการเมือง ผู้บริหาร
สุขภาพ ที่ควรระวัง สายตา ระบบหมุนเวียนโลหิต โรคหัวใจ ต่อมไทรอยด์
ความรัก มักมีความรักหลายครั้ง ด้วยเพราะอารมณ์ที่อ่อนไหว ความเผลอไผลได้โดยง่าย รวมถึงเสน่ห์ที่ติดกาย รวมถึงความอ่อนโยน ใจดี ทำให้คุณมักเป็นที่รักของผู้อื่น น่าจะเป็นเรื่องดีแต่บางทีกลับกลายเป็นเรื่องปวดหัวอย่างช่วยไม่ได้ ความหนักแน่นจึงจำเป็นมากสำหรับคุณ
การงาน งานด้านใช้ความคิดสร้างสรรค์ จินตนาการดูจะเหมาะกับคุณทีเดียว งานด้านความสวยงาม งานเขียน งานด้านสื่อสารมวลชน นักแสดง สังคมสงเคราะห์ โหราศาสตร์
ความรัก เป็นคนมีความรักง่ายแต่รักษาไว้ไม่ ง่ายนัก ด้วยนิสัยไม่ยอมคนและมีวาจาที่มักทำร้ายคนใกล้ตัวได้ง่ายๆ จึงทำให้ขาดเสน่ห์โดยไม่รู้ตัว ขาดเหตุผล และอารมณ์เสียง่ายจึงชวนทะเลาะเสมอ แต่บางครั้งก็สร้างความประหลาดใจด้วยการสร้างความประทับใจที่สุดซึ้งทำให้ ได้รับความรักกลับมาได้โดยพลัน
การงาน อาชีพที่เหมาะสม ตำรวจ ทหาร วิศวกร ผู้ควบคุมระบบในด้านความปลอดภัย นักกีฬา
สุขภาพ ระมัดระวังโรคเกี่ยวกับกระดูก ไขข้อ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น ความดันโลหิต โรคตับ อุบัติเหตุ
ความรัก มีเสน่ห์ที่คารม มองเหมือนเป็นคนเจ้าชู้แต่จริงๆแล้วเป็นคนเลือกมาก ขี้เบื่อ จึงชอบคนที่เข้ากับคุณได้จริงๆ คุณชอบคนมีเหตุผล ฉลาด อ่อนโยน มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง
การงาน เหมาะกับงานด้าน การติดต่อสื่อสาร สาระสนเทศน์ นักวางแผน ที่ปรึกษา ประชาสัมพันธ์ งานขาย งานด้านการติดต่อประสานงาน วิเคราะห์โครงการ แพทย์ เภสัช นักวิทยาศาสตร์ นักโหราศาสตร์
สุขภาพ ที่ควรระวัง โรคเกี่ยวกับสมอง สายตา ระบบหมุนเวียนโลหิต โรคหัวใจ
ความรัก มักแต่งงานงานช้า เพราะมัวแต่พิจารณาแล้ว พิจารณาอีก ขาดความโรแมนติก ยึดมั่นขนบธรรมเนียมประเพณี ไม่ชอบความรักแบบโลดโผน คุณมักคิดว่าหากใช่ก็ใช่ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ใช่
การงาน เหมาะกับงานประเภท ครู อาจารย์ นักสังคมสงเคราะห์ นักการเมือง นักปกครอง นักวิเคราะห์ โบราณคดี
สุขภาพ ระมัดระวังโรคเกี่ยวกับสมองประเภท ลมชัก ความดันต่ำ ระบบหมุนเวียนโลหิต ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคทางเหน็บชา

ความรัก โชคดีในเรื่องของความรัก เป็นผู้มีเสน่ห์ต่อเพศตรงข้าม มีคู่ที่พึ่งพาได้ ความรักเป็นสิ่งสวยงามสำหรับคุณเสมอ แม้มีปัญหาแต่ด้วยความเป็นคนประนีประนอมสูงจึงผ่านไปได้อย่างไม่ยากเลย มีความรักที่มั่นคงยาวนาน
การงาน เหมาะกับงานด้านสาธารณสุข งานด้านปกครอง แพทย์ พยาบาล นักสังคมสงเคราะห์ นักวางแผน ด้านแฟชัน ความสวยความงาม เกษตรกรรม
สุขภาพ ระมัดระวังโรคความดันโลหิต ไขมันในเส้นเลือดสูง โรคทางระบบช่องท้อง โรคไต ต่อมไทรอยด์ เบาหวาน
ตวามรัก มักไม่ค่อยสมหวังในรัก ความรักดูเป็นเรื่องยากและมีอุปสรรคมากมายจนบางทีคุณเลือกที่จะอยู่คนเดียว มากกว่าที่จะหาห่วงมาผูกคอ หากมีความรักก็มักเป็นความรักต่างวัย รักครั้งที่สอง จริงๆแล้วคุณควรลองที่จะเปิดใจและทำชีวิตให้สดใสขึ้นบ้างคงจะดีไม่น้อยนะคะ
การงาน งานที่เหมาะกับคุณควรเป็นงานด้านการวิจัย การทำโครงการต่างๆ ครู อาจารย์ ผู้มีหน้าที่ถ่ายทอด สังคมสงเคราะห์ เป็นที่ปรึกษา ผู้ประสานงาน
สุขภาพ ระมัดระวังโรคที่เกี่ยวกับสมอง ระบบเนื้อเยื่อในร่างกาย โรคทางพันธุกรรมต่างๆ
ความรัก มีรักที่มักลุ่มหลง บางครั้งจึงยากที่จะแยกได้ออกว่าแบบไหนคือรักแท้ เป็นดวงที่ควรดูแลด้านสภาพจิตใจให้ดีค่ะ เพราะความไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นอาจนำพาซึ่งปัญหามากมายตามมาให้ได้ปวดหัวเจ็บ ทั้งตัวและหัวใจ
การงาน งานที่เหมาะกับคุณมักเป็นงานประเภทที่ต้อง ใช้การหว่านล้อม เช่น นายหน้าการลงทุน ผู้นำศาสนา ตลาดหุ้น งานที่ต้องใช้สมองและการพลิกแพลงอยู่ตลอด ดารานักแสดง
สุขภาพ ควรระมัดระวัง โรคกรรม โรคที่หาสาเหตุไม่พบ โรคที่ต้องได้รับการดูแลเป็นระยะเวลานาน โรคเรื้อรัง โรคทางเพศสัมพันธ์
ความรัก เป็นคนที่มีความรักดีมาก จนบางครั้งดีเกินไป จึงทุกข์เพราะเกินนี่แหละ ดังนั้นควรคิด พิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ เลือกคนที่เข้ากับเราได้จริงๆ มีความหนักแน่นอยู่เสมอ เป็นคนมีเสน่ห์อยู่กับตัว
การงาน งานที่เหมาะ เป็นงานประเภทอุทิศตัวเพื่อช่วยเหลือ แพทย์ พยาบาล มูลนิธิต่างๆ นักกายภาพ ดารานักแสดง งานด้านสื่อสารมวลชน
สุขภาพ ควรดูแลร่ายกายและตรวจสุขภาพอยู่เสมอ เพราะโรคที่เป็นมักเป็นโรคที่ค่อยๆก่อตัวจากเล็กจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่นพวกเซลล์มะเร็ง โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต โรคทางระบบประสาท








แก้วมณีรัตนะหนึ่งในรัตนเจ็ดประการของพระเจ้าจักรพรรดินั้นได้
บรรยายไว้ว่ามีสันฐานดังหนึ่งลูกฟัก
หากพิจารณาดูก็พบว่าเป็นแก้วชนิดหนึ่งที่เรียกว่า "แก้วโตน"
ซึ่งมีสันฐานกว้างกลมและยาวออกดังฟักนั่นเองต่างแต่ว่าแก้วจักรพรรดิ
ในตำนานนั้นมีขนาดใหญ่และน้ำงดงามกว่าที่พบทั่วไปมากซึ่งก็พออนุมานว่าตำนาน
นั้น
คงมีเค้าจากเรื่องจริงอยู่มากเพราะแก้วตามธรรมชาติที่มีลักษณะดังว่าก็มี
อยู่ จึงทำให้เกิดประเพณีการสร้าง "พระเเก้ว"
ขึ้นเสมือนหนึ่งการเฉลิมฉลองพระเกียรติยศ
ของกษัตริย์โบราณว่าเป็นพระเจ้าจักรพรรดิองค์หนึ่งนั่นเอง
ศรีจักรานี้เป็นยันต์ที่ถือว่าเป็นสุดยอดของยันต์ทั้งปวงของชาวภารตะ
ซึ่งถูกลอกเลียนไปใช้ในทิเบตแต่ก็ได้ไปแบบไม่ครบถ้วน
เนื่องจากคติยันต์ฝ่ายฮินดูนั้นผูกสร้างอำนาจจากเทวะต่างๆด้วย
การบูชาเทวราชที่เป็นรูปแบบหนึ่งของธรรมชาติ
หรือบางทีคัมภีร์โบราณก็มักกล่าวว่า
ธรรมชาติที่เราเห็นอยู่สัมผัสอยู่นี่ละที่เป็นส่วนหนึ่งของพระเป็นเจ้าของพวกเขา
ซึ่งตรงนี้ลุงกุสต้องขอบอกว่าเรื่องราวของเทพเจ้าทางพราหมณ์เขานั้นนะไม่ใช่สิ่งที่เหลวไหลไร้สาระนา
แต่เป็นการศึกษาในระดับคลาสสิกทีเดียวเชียวซึ่งต้องเข้าใจให้ตรงกันก่อนว่า
เรื่องทรงเจ้าเข้าผีที่ก่อคดีสะเทือนขวัญที่เพิ่งผ่านมาเร็วๆนี้มันเป็นคนละเรื่องกับศาสตร์ของทางพราหมณ์เขา
ซึ่งไม่นิยมยอมรับเรื่องการประทับทรงนี้เลย
โดยยกเว้นพวกกลุ่มชาวทมิฬ(อินเดียใต้)
ที่มักมีพิธีทรงเจ้าแต่คนฮินดูส่วนใหญ่เขาไม่ยอมรับเนื่องจากมีคติว่าร่างกายของมนุษย์นั้น
หยาบเกินกว่าภาวะของเทพเจ้าจะเข้าทาบทับจนสนิทได้ซึ่งผู้ที่จะเข้าถึงเทพเจ้าได้ต้องบำเพ็ญตบะเฉพาะ
และต้องแสวงสันโดษจนจิตยกระดับเป็นที่สมาคมกับมหาเทวะทั้งหลายได้
เรื่องการทรงเจ้าเข้าผีแบบดำน้ำลุยไฟนี่ละลุงกุสไม่ยอมรับกิจพิธีเหล่านี้ว่า
เป็นเรื่องของเทพเจ้าหรอกเพราะจากตำรับตำราที่เชื่อถือได้พบว่าเป็นพิธีกรรมของพวกคนป่าด้อยอารยะธรรมแบบพ่อมดหมอผีวูดู
ซึ่งลัทธินิยมเทวะเรียกพวกนี้ว่า “อสูรนิกาย”
นิยายจีนกำลังภายในเราจะได้ยินว่า “ม้อก่า”หรือนิกายอสูรนี่ละ
สำหรับสายอารยะธรรมนี่ต้องบอกว่ามาคนละด้านเลย
พวกเทพนิกายนี้เดิมของอินเดียนั้นมาตอนที่เผ่าอารยันบุกเข้าส่วนกลางของชมพูทวีป
และสถาปนาเผ่าพันธุ์ของตนเข้าปกครองชาวพื้นเมืองเดิมที่เรียกว่ามิลักขะซึ่งมีส่วนหนึ่งอพยพถอยร่นมาสู่อินเดียทางตอนใต้
เผ่าอาระยันก็คือบรรพบุรุษของราชวงศ์ศากยะ
ซึ่งเราจะไม่แปลกใจเลยที่ลำดับเทพเจ้าในพุทธศาสนานั้น
บางประการเหมือนที่ปรากฏในคัมภีร์ก่อนยชุรเวทของพราหมณ์
และเป็นต้นเรื่องราววิชาการสายพระเวทต่างๆที่แตกสาขาออกมากมายจน
แม้พุทธฝ่ายเถรวาทที่ยึดมั่นในธรรมวินัยดั้งเดิมที่พระศรีศากยะมุนีก็รับเอาความรู้นี้มาปรับใช้(ระดับฆารวาสธรรม)
โดยอยู่ใต้พุทธปรัชญาอย่างกลมกลืนทั้งนี้ก็เพราะต่างเป็นเรื่องราวของสัจจะธรรมในธรรมชาติจึงเรียกว่าพูดจาภาษาเดียวกันนั่นเอง
ลุงกุสเล่าเรื่องมายิกของชาวตะวันตกมาก็หลายตอนเลยอยากนำเรื่องราวของชาวภารตะที่นับว่าเป็นต้นตำรับมายิก
หรือพระเวทสายสำคัญสายหนึ่งของโลกมาเล่าสู่กันฟังบ้างและพบว่า
ในกระบวนยันต์ต่างๆที่มีใช้ในบ้านเรานั้นส่วนใหญ่พัฒนาดัดแปลงมาจากสายพราหมณ์มากพอสมควร
ทั้งนี้เราต้องยอมรับอยู่ว่าวิทยาการของพราหมณ์(ในระดับทางโลกีย์วิสัย)
นั้นถือว่าเป็นสุดยอดของโลกสายหนึ่งทีเดียวเชียวเดี๋ยวจะหาว่าหล่อไม่บอก



การปรับเปลี่ยนเงื่อนไขกาลเวลาของยุคต่างๆที่ซ้อนมิติอยู่ในจักรวาล
ซึ่งโดยปกตินั้น จะแสดงสถานะยุคทางกาลเวลานั้นสี่สถาน
เริ่มตั้งแต่เริ่มต้นยุคสร้าง จนสิ้นสุด(มหากาลียุคคือปัจจุบันนั่นเอง)
ซึ่งเป็นการดับยุคแล้วเกิดวัฏฏะยุคทางกาลเวลาใหม่
สิ่งเหล่านี้ได้ปรากฏในการเคลื่อนที่ของระบบสุริยะทั้งระบบที่โลก
เป็นแกนในการสร้างความสัมพันธ์กับดาวเคราะห์อื่นๆนั้น
ก็จะมีลักษณะการอย่างเช่นการเกิดจุดสุริยะฉายเป็นเสมือน
ประตูสวรรค์สี่ครั้งตามที่กล่าวมานั้นก็ตาม
ลักษณะดังกล่าวยังปรากฏให้เห็นเป็นฤดูในปีนั้นก็มีความแตกต่างตามสภาวะที่ปรากฏในธรรมชาติ
ซึ่งบางคนอาจถกเถียงว่า บางส่วนอย่างพื้นที่ตรงใกล้เส้นศูนย์สูตร
หรือบริเวณขั้วการหมุนของโลกนั้นจะมีฤดูกาลปรากฏให้เห็นไม่ถึงสี่ฤดูกาลก็ขอแก้ว่า
ฤดูทั้งสี่นั้นยังมีอยู่แต่ช่วงที่ปรากฏในแต่ละพื้นที่นั้นเหมือนจุดเงา
ที่บางบริเวณอาจเกิดการทาบซ้อนหรือมีระยะสั้นจึงไม่อาจสังเกตเห็น
ความเป็นไปดังกล่าวย่อมแสดงให้ประจักษ์แจ้งถึงประตูแห่งจักรวาล
ที่มีอยู่ถึงสี่ด้านและเป็นที่มาของเทพผู้พิทักษณ์ที่เรารู้จักในคติพุทธศาสนาว่า
จตุโลกบาล ยังไงละหลานๆ ซึ่งกระบวนดาวฤกษ์ดาวเคราะห์
ทั้งหลายนี้จะมีแรงกระทำต่อกันอยู่ตลอดจึงรักษาสถานะที่เป็นในขณะนั้น
ได้หากดาวใดหรือสิ่งใดมีการเปลี่ยนแปลงภายในที่รบกวนระบบใหญ่ก็จะเกิดการไม่สมดุล
และดำรงอยู่ไม่ได้ ความรู้นี้จึงเกิดปรัชญาเรื่อง “กรรม”
ของพราหมณ์ที่มีนัยใกล้เคียงกับที่นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ(กฏไอแซคนิวตันทั้งสามข้อ)คือ
“หากกรรมเพียงนิดปรากฏก็กระเทือนทั่วจักรวาล”
การกระทำของใครก็ตามจึงส่งผลต่อระบบจักรวาล
ทั้งระบบต่างที่ผลปรากฏจะมากน้อยกว่ากันเท่านั้น หลักกรรมที่ว่าจึงเกิดจารีต
“อหิงสา” คือการไม่เบียดเบียนเป็นการรักษาตัวเอง และระบบไว้เพราะเชื่อว่าหาก
กรรมที่มนุษย์ร่วมกันก่อมากๆก็อาจมีผลกระทบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ
ต่างๆที่แปรปรวนไปเรื่องนี้ดูจะสอดคล้องกับหลักศาสนาใหญ่ทุกศาสนาเลยละ
(ไม่รู้ว่า คลื่นสึนามิที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆนี้ จะเกี่ยวหรือไม่?
แต่นักศาสนาหลายคนเชื่อว่าเป็นสัญญาณเตือนมนุษย์จากบางสิ่งบางอย่างว่าให้ปรับการกระทำของตนเสียใหม่)
ขณะที่จักรวาลดำเนินธรรมชาติความเป็นไปที่เล่ามา
โดยในระหว่างที่ยุคกาลเวลานี้ยังดำเนินไปนั้นจะมีพลังงานบางประการรักษาสมดุลของจักรวาลไว้คือ
ก่อเกิด(พรหม) รักษาสถานะ(นารายณ์) ทำลายเพื่อสร้างสภาวะใหม่(ศิวะ)
รวมเรียกว่า “พระเป็นเจ้า” นั่นเอง
โดยอาศัยแบบจำลองเสาหลักของกาลเวลาที่เรียกว่า “ศรีไกรลาส”
ซึ่งเป็นจุดที่กาลเวลาสงบนิ่งที่อดีต
ปัจจุบันและอนาคตเป็นหนึ่งเดียวกันอาจกล่าวว่าลักษณะเช่นนี้เป็น
การตกผลึกของวัฏฏะจักรการเวลาซึ่งได้กำหนดเหตุการณ์ดังกล่าวในลักษณะภาพรูปทรงเรขาคณิต
ซึ่งในทางวัตถุนั้นเราไม่อาจเห็นได้ง่ายนัก
แต่โดยหลักวิชาทางพราหมณ์ยุคก่อนได้เรียนรู้กลไกการเคลื่อนขยายอาณาเขตของจักรวาล
ที่มีการสามารถเล็งหาจุดศูนย์กลางการเคลื่อนออกนั้น
(ปัจจุบันนักดาราศาสตร์ก็ยอมรับว่า จักรวาลขยายตัวออกทุกขณะ)
ในทางวัตถุนั้นหากหลานๆลุงกุสอยากจะลองค้นคว้าเรื่องสถานที่ที่เป็นจุดยึดตรึงกาลเวลา
ก็สามารถหาได้จากเข็มทิศที่ลองวางแนวเข็มทิศที่เป็นสนามแม่เหล็กในบ้านดู
ก็จะพบว่าแต่ละพื้นที่มีเส้นแรงแม่เหล็กที่ไม่เป็นแนวเดียวกันทั้งหมด
ทั้งนี้ก็เนื่องจากกลไกของวัตถุต่างๆในบ้านที่สะท้อนพลังงานแม่เหล็กโลกออกมาไม่เหมือนกัน
ซ้ำปัจจุบันได้มีการค้นพบและใช้ประโยชน์จากไฟฟ้าในชีวิตประจำวันมากมาย
จนเกิดสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้ามั่วไปหมด
จุดยึดตรึงต่างๆที่สามารถอยู่ในระนาบเดียวกันได้ย่อมเกิดเส้นแรงลัพธ์
ซึ่งหากเราขีดเส้นแนวแกนขั้วแม่เหล็กจากจุดต่างๆได้มากพอก็จะเห็นแนวๆหนึ่ง
ที่เป็นแกนหลักของแนวเล็กๆในสนามแม่เหล็กบริเวณนั้นเสมอ
(ในหนึ่งตารางเมตรต้องทำแนวขั้วแม่เหล็กหรือแนวเข็มทิศอย่างน้อยหกสิบจุดในอัตราเฉลี่ยต่อพื้นที่
ที่ใกล้เคียงหรือก็คือแบ่งพื้นที่นั้นออกให้ได้อย่างน้อยหกสิบส่วนนั่นเอง)
แนวแกนที่ว่าจะเป็นจุดยึดตรึงเวลาหรือสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในบริเวณนั้น
ซึ่งหากเราพบว่าวันใดแนวแกนที่ว่านั้นมีการเบี่ยงเบนเกินกว่าหนึ่งองศาครึ่ง
ก็จะแสดงว่าสนามแม่เหล็กในโลกอาจมีการกระทบจากคลื่นพลังงานบางอย่าง
และมีการบิดตัวเนื่องจากเกิดการประทุใต้โลกซึ่งนั่นก็คือการบอกเหตุของแผ่นดินไหวนั่นเอง)
ความรู้นี้เท่าที่ลุงกุสค้นและคว้ามานั้นคงยังไม่อาจยืนยันตามหลักวิทยาศาสตร์ได้สักเท่า
เพราะถามใครก็มักได้ความแบบไม่จบเรื่องซักกะที
ที่ลุงกุส(เจ้าเก่า)ยกมาเล่าก็เพื่อให้ลองทดสอบและสร้างความเข้าใจตลอดจน
พิสูจน์เรื่องสนามพลังงานในชั้นต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเราโดยจะเข้าใจได้ในระดับที่สูงขึ้นได้เองว่า
“ศรีจักรา” นั้นทำงานอย่างไร? 

ที่นี้แกนที่เป็นศูนย์กลางพลังงานต่างๆบนโลกที่เหล่าดาวเคราะห์ใหญ่น้อย
และดาวฤกษ์ร่วมกระทำที่ชาวภารตะเรียกว่า “เทพนพพระเคราะห์”
นั้นละจะมีจุดศูนย์กลางแรงลัพธ์อยู่บนพื้นที่ต่างๆกระจายอยู่ทั่วโลก
ที่เห็นๆก็ ปิรามิดในประเทศ อิยิปต์ไง ส่วนในภารตะหรือ
อินตะระเดีย(อินเดีย)นั้น
เขาค้นพบเขาลูกหนึ่งมีสีขาวอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยปัจจุบันจุดนี้อยู่แถบเนปาลตรงรอยต่อกับทิเบต
มีพลังงานในระดับเข้มข้นมากและภูเขาลูกนี้ดูแปลกคือสีของภูเขานั้นออกขาวโพลน
ทั้งที่พื้นดินด้านล่างๆลงมามีสีดำตามปกติก็เลยเรียกตามลักษณะว่า ไกรลาส
ซึ่งแปลว่า เขาเผือก (ขาว)นั่นเอง
อันว่าเขาไกรลาสนี้เองและที่เหล่าโยคีนักบวชต่างนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์นักหนา
เลยจัดคอนโดเอ้ย!!!! วิมานสถิตให้มหาเทพองค์สำคัญคือ สดาศิวะ ท่านประทับอยู่
ในแต่ละปีจะมีโยคีผู้นับถือ
สดาศิวะอย่างจริงจังจำนวนมากเสี่ยงตายต่อสู้กับความหนาวเหน็บจาริกเดินทางด้วยเท้าเปล่าไปประทักษิณ
(การแสดงการเคารพด้วยการเดินรอบสิ่งนั้นในทิศทางตามเข็มนาฬิกา)รอบเขาลูกนี้แล้วกล่าวปัญจมหามนต์ที่ว่า
“โอมนมัสศิวา”
ว่ากันว่ากว่าจะครบรอบหนึ่งต้องว่ามนต์ห้าพยางค์นี้เป็นพันๆหมื่นๆครั้ง
และกลับมาด้วยของที่ระลึกนับถือแทนองค์สดาศิวะเป็นเพียงหินสีดำก้อนเล็กๆก้อนเดียว
เรียกว่า “ศรีไกรลาสศิลา” ซึ่งนับถือว่าศักดิ์สิทธิ์มาก
(ศรีจักราบทสรุปต่อจากฉบับที่แล้ว) ...........
การใช้ศรีจักราเพื่อสร้างความสมดุลในสถานที่
การใช้ศรีจักราในการบำบัดอาการป่วยบางระดับ
ที่อาจเป็นการผิดปกติจากความไม่สมดุลของร่างกายที่มีสาเหตุจากร่างกายเองหรือได้รับพลังแฝง
วางศรีจักราบนฝ่ามือพินทุอยู่ตรงเส้นสุขภาพของลายมือคะเนกลางฝ่ามือ
ให้กำหนดถึงศรีจักรา
กล่าวมนตราจนรูสึกถึงพลังที่แผ่มาครอบคลุมจากนั้นนึกถึงเทวะที่ท่านศรัทธากล่าวบูชา(สรรเสริญคุณ)
แล้วขออำนาจให้บำบัดอาการดังกล่าว หายใจเข้าออกยาวๆแบบสบายๆ
ทำประมาณสิบห้านาทีกำหนดจิต
ที่ศรีจักราดึงความศักดิ์สิทธิ์เข้าตัวกล่าวมนตราความเร็วระดับที่รู้สึกว่ากำลังสบายไม่เร็วช้าไป
(ใช้ความรู้สึกเราเป็นตัวกำหนด) หากเจ็บปวดที่ไหนให้กำหนดนำ
สิทธิอำนาจความศักดิ์สิทธิ์นั้นไปละลายจุดนั้นจินตภาพให้ความป่วยไข้ให้หายไปหายใจออกยาวๆ
(ทำเสร็จแล้วควรอาบน้ำชำระไอโรคทันที)

